เสียงเป็นสิ่งบ่งบอกเพศอย่างหนึ่ง เวลาพูดจะทราบได้ทันทีว่าเป็นเสียงของผู้หญิงหรือผู้ชาย เสียงของผู้ชายจะทุ้มต่ำและห้าว ส่วนเสียงของผู้หญิงจะเล็กแหลม เสียงสามารถบอกถึงความเป็นเพศชายและความเป็นเพศหญิง คนข้ามเพศจะมีปัญหาด้านเสียง เพราะมีเสียงพูดที่ไม่ตรงกับเพศที่ต้องการ คนข้ามเพศที่ได้รับการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงแล้ว หากยังมีเสียงพูดทุ้มต่ำอยู่ จะทำให้คนฟังสงสัยว่าคนพูดเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ทำให้หญิงข้ามเพศไม่สบายใจ ไม่มั่นใจในการพูดคุยหรือสื่อสาร และหวาดกลัวที่จะถูกคุกคามทางเพศ หญิงข้ามเพศบางคนพยายามดัดเสียงให้แหลม และพูดเสียงขึ้นจมูก ทำให้เหนื่อยเวลาพูด เพราะต้องฝืนจนดูไม่เป็นธรรมชาติ ต้องออกแรงบีบปอด หน้าอก แล้วพยายามยกโคนลิ้นให้สูงขึ้น เพื่อให้ได้เสียงเล็กแหลม และขึ้นจมูกตามต้องการ
การผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายให้เป็นหญิง (Voice Feminization Surgery: VFS)
การออกเสียงเกิดจากอากาศในช่องอกผ่านกล่องเสียง (Larynx) ที่มีเส้นเสียง (Vocal Cord) สองเส้นประกบคู่กัน การสั่นของเส้นเสียงทำให้เกิดเสียง เส้นเสียงจะมีความยาวประมาณ 12-14 มิลลิเมตร ผู้ชายจะมีเส้นเสียงยาวกว่าผู้หญิง ความถี่ของการสั่นสำหรับเส้นเสียงผู้ชายจะต่ำกว่า 200 เฮิรตซ์ ส่วนความถี่ของการสั่นสำหรับเส้นเสียงของผู้หญิงจะสูงกว่า 200 เฮิรตซ์ เส้นเสียงจะเจริญเติบโตจนถึงอายุ 17 ปี หลังจากนั้น เส้นเสียงจะเสื่อมตามวัยและการใช้งาน
ดังนั้น หญิงข้ามเพศทุกคนที่เสียงต่ำต้องผ่าตัดเปลี่ยนเสียง ซึ่งในบางประเทศเห็นความสำคัญของการผ่าตัดเปลี่ยนเสียงในหญิงหรือชายข้ามเพศ เพื่อป้องกันการถูกข่มขู่คุกคามทางเพศ บริษัทประกันหรือสวัสดิการสังคมของบางประเทศทั้งในทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาจ่ายค่าผ่าตัดเปลี่ยนเสียงให้กับหญิงหรือชายข้ามเพศด้วย
เทคนิคการผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายให้เป็นหญิง
เป้าหมายของการผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายให้เป็นหญิง คือ การทำให้หญิงข้ามเพศมีเสียงเล็กแหลม เพิ่มความถี่ของเสียงให้มากขึ้นในช่วงความถี่ของเสียงผู้หญิง ด้วยการผ่าตัดเส้นเสียงให้ตึงและสั้นลง เพื่อให้การพูดออกเสียงมีจังหวะ เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องฝืน และดัดเสียงอีกต่อไป หลังผ่าตัด คนไข้ต้องฝึกออกเสียง และฝึกพูดกับนักอรรถบำบัด (Speech Therapist) ประมาณ 3 เดือน ถึง 1 ปี เพื่อปรับการออกเสียง และจังหวะการพูดให้เป็นธรรมชาติ โดยเทคนิคที่ใช้ในการผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายให้เป็นหญิง มีดังนี้
1. การผ่าตัดเปลี่ยนเสียงด้วยเทคนิคเจาะเยื่อไครโคไทรอยด์ (Cricothyroid Approximation: CTA, Thyroplasty type IV)
รูปที่ 1: กายวิภาคของกล่องเสียง
รูปที่ 2: เทคนิคการผ่าตัดเปลี่ยนเสียงด้วยวิธีเจาะเยื่อไครโคไทรอยด์ และผลการผ่าตัด
เป้าหมายของการผ่าตัดเปลี่ยนเสียงด้วยเทคนิคเจาะเยื่อไครโคไทรอยด์นี้ คือ การเย็บกระดูกอ่อนไทรอยด์ (Thyroid Cartilage) ให้ติดกับกระดูกอ่อนไครคอยด์ (Cricoid) บริเวณกล่องเสียงด้วยไหมไม่ละลาย ทำให้เส้นเสียงตึงขึ้น ความถี่ของเสียงจึงสูงขึ้น โดยไม่ทำอะไรกับเส้นเสียง เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดแผลเป็น (Scar) ที่เส้นเสียง เพราะแผลเป็นทำให้เส้นเสียงสั่นไหวน้อยลง ซึ่งจะมีผลข้างเคียงมาก เช่น เสียงแหบ ออกเสียงไม่เป็นธรรมชาติ
การผ่าตัดจะใช้เวลาประมาณ 40-50 นาที คนไข้ต้องดมยาสลบ แพทย์จะเปิดแผลที่รอยพับของคอ ประมาณ 2 เซนติเมตร การผ่าตัดเปลี่ยนเสียงจะทำพร้อมกับการกรอกระเดือก เพื่อปรับระดับกระเดือกให้พอดีกับลำคอ บางครั้งเมื่อกรอกระเดือกเรียบร้อยแล้ว จึงผ่าตัดกล่องเสียง การเย็บกระดูกอ่อนที่กล่องเสียงอาจทำให้กระเดือกอยู่สูงเกินไปจนต้องปรับแก้ไข การผ่าตัดเปลี่ยนเสียงไม่ต้องเปิดแผลเพิ่ม แผลจะหายภายใน 2-3 เดือน
ข้อดี
- เทคนิคการผ่าตัดเปลี่ยนเสียงไม่ไปรบกวนเส้นเสียง ไม่ทำให้เกิดแผลเป็นที่เส้นเสียง หลีกเลี่ยงเสียงแหบถาวร (Hoarseness)
- สามารถแก้ไขให้เสียงเหมือนเดิมได้ หากไม่พอใจเสียงใหม่ที่ได้รับ
- เทคนิคการผ่าตัดเปลี่ยนเสียงสามารถทำร่วมกับการกรอกระเดือกโดยใช้แผลเดียวกัน
ข้อเสีย
- ต้องเปิดแผลที่ใต้คาง
- ในระยะยาว อาจกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ แต่โอกาสน้อยมาก
2. การผ่าตัดเปลี่ยนเสียงด้วยเทคนิคผ่าตัดกล่องเสียง (Open laryngoplasty with anterior vocal fold shaving technique)
รูปที่ 3: รูปแสดงการเปลี่ยนเสียงด้วยเทคนิคผ่าตัดกล่องเสียง
รูปที่ 4: รูปแสดงเส้นเสียงก่อนและหลังการผ่าตัดเปลี่ยนเสียง
เทคนิคการผ่าตัดกล่องเสียงเพื่อเปลี่ยนเสียงให้แหลมขึ้น ด้วยการตัดกระดูกอ่อนเหนือกระดูกอ่อนไทยรอยด์ของกล่องเสียง โดยแต่ละข้างห่างจากแกนกลางของกล่องเสียง 2-4 เซนติเมตร เพื่อดึงเส้นเสียงมาเย็บเข้าหากันที่ตำแหน่งด้านหน้าของกล่องเสียง และเพื่อลดขนาดของเส้นเสียง ทำให้เส้นเสียงตึงขึ้น เสียงจะแหลมเล็กขึ้น เราสามารถลดขนาดของกระเดือกพร้อมกับการผ่าตัดเปลี่ยนเสียงด้วย ผลการผ่าตัดทำให้เสียงแหลมขึ้น 2-3 สัปดาห์หลังผ่าตัด ในบางกรณี คนไข้อาจมีเสียงแบบเดิม แต่เป็นไปได้น้อยมาก
ข้อดี
- พูดออกเสียงเป็นธรรมชาติกว่าเทคนิคการผ่าตัดแบบเจาะกระดูกอ่อนไทรอยด์
- ขนาดของกล่องเสียงหลังผ่าตัดจะใกล้เคียงกับกล่องเสียงของเพศหญิง
- เทคนิคนี้ทำให้คนไข้สามารถออกเสียงได้สูงกว่าเทคนิคการผ่าตัดแบบเจาะกระดูกอ่อน ไทรอยด์
ข้อเสีย
- มีโอกาสเกิดเสียงแหบหลังผ่าตัด
- เสี่ยงต่อการติดเชื้อทางหลอดลม หลังผ่าตัด
- ใช้เวลาผ่าตัดนานกว่าและซับซ้อนกว่า
- ใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดเปลี่ยนเสียง
ก่อนเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายให้เป็นหญิง คนไข้ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ดังนี้
- หยุดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เพราะจะมีผลต่อภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด
- หยุดรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด และหลอดเลือด เช่น ยาแอสไพริน หรือยาแก้ปวดบางชนิด
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ก่อนและหลังผ่าตัด 7 วัน
- พบแพทย์ หู คอ และจมูก เพื่อตรวจระดับเสียง และลักษณะของเส้นเสียง ด้วยเครื่อง Laryngostroboscope และแจ้งให้แพทย์ทราบถึงยาที่คนไข้ใช้เป็นประจำ
- พบนักอรรถบำบัด (Speech Therapist) เพื่อฟื้นฟูการพูด
การดูแลหลังผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายให้เป็นหญิง
- วันที่ 1-7 หลังผ่าตัด งดใช้เสียงเด็ดขาด รับประทานแต่อาหารอ่อนเท่านั้น
- วันที่ 3-5 หลังผ่าตัด ดื่มน้ำมาก ๆ ไม่ทำให้คอแห้ง พ่นยาและน้ำ เพื่อให้เส้นเสียงชุ่มชื้น เสียงจะได้ไม่แหบแห้ง
- วันที่ 8-10 หลังผ่าตัด พบแพทย์เพื่อตรวจการทำงานของเส้นเสียงและกล่องเสียง ดูการเปลี่ยนแปลงของเสียง และพบนักอรรถบำบัด (Speech Therapist) เพื่อเรียนรู้วิธีการออกเสียงแบบผู้หญิงอย่างเป็นธรรมชาติ
- พบแพทย์เพื่อติดตามผลการรักษาทุก 1 เดือน, 3 เดือน, 6 เดือน และ 12 เดือน
หมายเหตุ การผ่าตัดเปลี่ยนเสียง
การผ่าตัดเปลี่ยนเสียงจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับลักษณะของเส้นเสียงและทางเดินของเสียง (Vocal Tract) ของคนไข้ การเป็นกรดไหลย้อนจะมีผลต่อการผ่าตัดเปลี่ยนเสียง หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การรับสารเคมี การบริโภคกาแฟ ช็อกโกแลต เปปเปอร์มิ้นต์ (Pappermint) น้ำอัดลม โซดา อาหารที่เป็นกรด เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด หลีกเลี่ยงการใช้เสียงอย่างเด็ดขาดในช่วง 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด เพื่อให้เส้นเสียงได้พักฟื้น และจะทำให้เสียงที่ได้หลังผ่าตัดมีคุณภาพ เมื่อผ่านไป 1 สัปดาห์แล้ว คนไข้จะสามารถพูดได้บ้าง (10 นาทีถึง 1 ชั่วโมง)
ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดเปลี่ยนเสียง
- มีเลือดออก
- ติดเชื้อ
- มีรอยแผลเป็น
- เสียงที่ได้หลังการผ่าตัดอาจไม่เป็นไปตามความคาดหวังของคนไข้
- เส้นเสียงแตก หรือเนื้อเยื่อรอบ ๆ ฉีกขาด
- พูดลำบากเนื่องจากการบวม
- ความเสี่ยงจากการดมยาสลบ
สาระน่ารู้ การผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายให้เป็นหญิง
ผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายให้เป็นหญิงได้จริงหรือ?
เสียงเป็นเอกลักษณ์ทางเพศอันหนึ่ง โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมลให้บริการผ่าตัดเปลี่ยนเสียง ชายเป็นหญิง โดยทำให้เส้นเสียงตึงขึ้น
ผ่าตัดเปลี่ยนเสียงเป็นหญิง จะถาวรหรือไม่?
ก่อนการผ่าตัด จะมีการเตรียมตัว ตรวจลักษณะและพยาธิสภาพของกล่องเสียงและเส้นเสียงโดยละเอียด ทำให้ศัลยแพทย์ประเมินได้ว่าจะต้องเลือกการผ่าตัด
การดูแลหลังการผ่าตัดเปลี่ยนเสียง ชายเป็นหญิง
การผ่าตัดทุกชนิดมีความเสี่ยง และปํญหาแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ การผ่าตัดเปลี่ยนเสียง ชายเป็นหญิง ก็เช่นเดียวกัน จะต้องดูแลเอาใจใส่หลังผ่าตัด
วีดิทัศน์ การผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายให้เป็นหญิง
การฝึกพูดแบบเพศหญิงสำหรับการผ่าตัดเปลี่ยนเสียง ที่โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมล
การออกเสียงให้เป็นผู้หญิงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับหญิงข้ามเพศ คนที่แปลงเพศและเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาให้เป็นผู้หญิงแล้วก็ยังไม่มั่นใจที่จะเป็นผู้หญิงอย่างแท้จริง เพราะมีปัญหาเรื่องเสียง การพูดคุยทำให้รู้ว่าไม่ใช่ผู้หญิงแท้แต่กำเนิด บางคนผ่าตัดเปลี่ยนเสียงแล้ว แต่ยิ่งแย่กว่าเดิม เสียงแหบเป็นเป็ดเลยก็มี ออกเสียงไม่ได้ก็มี
โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมลมีนักอรรถบำบัดสอนให้คนไข้ฝึกพูด ฝึกการใช้ท่าทาง การเน้นเสียง การแสดงอารมณ์ทางสีหน้าให้เป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องเค้นเสียงพูดออกมา เพราะถ้าเค้นเสียงพูดนาน ๆ คนไข้จะเหนื่อย คนไข้สามารถนัดหมายนักอรรถบำบัด แล้วกลับไปฝึกพูดต่อที่บ้าน หรือหน้ากระจก การฝึกพูดบ่อย ๆ จะทำให้มีเสียงพูด ท่วงทำนอง ท่าทาง เหมือนผู้หญิงตามธรรมชาติ ทำให้หญิงข้ามเพศมั่นใจในการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น
การฝึกพูดแบบเพศหญิง เป็นการรักษาเพื่อปรับแต่งให้เสียงพูดคล้ายเสียงของผู้หญิง การฝึกพูดด้วยเสียงของผู้หญิงต้องทำก่อนและหลังการผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายให้เป็นหญิง เพื่อให้คนไข้สามารถควบคุมการพูดอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนการผ่าตัดคนไข้ต้องรับการประเมินและการปรับแต่งเสียง เพื่อให้พูดด้วยเสียงที่เหมาะสม และหลังการผ่าตัดคนไข้ก็ต้องเรียนรู้วิธีการทำให้เสียงพูดคล้ายเสียงของผู้หญิง และวิธีการพูดอย่างเป็นธรรมชาติ คนไข้จะได้รับการดูแลจากนักอรรถบำบัดที่เชี่ยวชาญ ซึ่งจะฝึกให้คนไข้พูดจนเสียงพูดคล้ายเสียงของผู้หญิง การฝึกพูดโดยไม่มีนักอรรถบำบัดดูแลอาจทำให้เส้นเสียงบวมและล้มเหลว
การฝึกพูดแบบเพศหญิง ก่อนและหลังผ่าตัดเปลี่ยนเสียง
หนึ่งสัปดาห์ก่อนการผ่าตัดเปลี่ยนเสียง คนไข้ต้องมาพบนักอรรถบำบัดเพื่อซักซ้อมวิธีการพูดออกเสียง เพราะคนไข้บางคนติดการออกเสียงขึ้นจมูก ดังนั้น การพบนักอรรถบำบัดจึงสามารถตรวจสอบว่าคนไข้พูดแบบบีบเสียงขึ้นจมูกก่อนการผ่าตัดหรือไม่ หลังผ่าตัดคนไข้ควรออกเสียงตามธรรมชาติโดยออกเสียงผ่านเส้นเสียงโดยไม่บีบปอดและหน้าอก ปรับพฤติกรรมโดยไม่ออกเสียงขึ้นจมูกอีกต่อไป การบีบปอดและหน้าอกจะทำให้คนไข้เป็นโรคหัวใจ
ดังนั้น การพบนักอรรถบำบัดจึงทำให้คนข้ามเพศมีสุขภาพที่ดี มีการฝึกการออกเสียงอย่างเป็นธรรมชาติ การฝึกออกเสียงอย่างถูกต้องจะทำให้คนไข้มีเสียงเป็นธรรมชาติและคล้ายเพศหญิง การพบนักอรรถบำบัดในแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
เหตุผลที่โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมล ได้รับความนิยมเรื่องการผ่าตัดเปลี่ยนเสียง
ผู้คนจากหลากหลายประเทศทั่วโลกนิยมมาผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายให้เป็นหญิง ที่โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมล ด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนี้
- โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมล มีศัลยแพทย์ผ่าตัดตกแต่งที่มีชื่อเสียง มากด้วยประสบการณ์ ทักษะ และความชำนาญในด้านศัลยกรรมความงาม ดังนั้น คนไข้จะได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ระหว่างเข้ารับการรักษา
- โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมล ใช้เทคนิคและเทคโนโลยีอันทันสมัยในการผ่าตัดเปลี่ยนเสียง จากชายเป็นหญิง ทำให้คนไข้มีเสียงพูดคล้ายเพศหญิง
- โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมล มีคนไข้ที่ได้รับผลสำเร็จจากการผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายเป็นหญิง ดังจะเห็นได้จากวีดิทัศน์ของคนไข้ผู้มีประสบการณ์ด้านการผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายเป็นหญิง
- โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมล ให้บริการผ่าตัดเปลี่ยนเสียงชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคที่หลากหลาย และวางแผนการรักษาร่วมกับคนไข้ เพื่อให้การบริการตอบสนองต่อความต้องการของคนไข้ และบรรจุถึงสิ่งที่คนไข้ต้องการมากที่สุด
ทำไมโรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมล จึงเป็นจุดหมายปลายทางของการผ่าตัดเปลี่ยนเสียง
ผู้คนมากมายจากหลากหลายประเทศต้องการเดินทางมาที่ประเทศไทย เพื่อทำการผ่าตัด รักษาพยาบาล เนื่องจากประเทศไทยมีแพทย์ฝีมือดีระดับโลก การดูแลเอาใจใส่ที่ได้มาตรฐาน การพยาบาลที่ดีกว่าหลายประเทศชั้นนำทั่วโลก อีกทั้ง ค่ารักษาพยาบาลไม่แพง เมื่อเทียบกับคุณภาพและการรักษา ไม่ต้องรอคิวนาน
ขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็เป็นจุดหมายปลายทางของการทำศัลยกรรมตกแต่งและแปลงเพศอีกด้วย เพราะคุณภาพและการบริการระดับมาตรฐานสากล ตลอดจน ทักษะความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ของศัลยแพทย์ตกแต่งที่มีชื่อเสียงระดับโลก ทำให้ผลการผ่าตัดรักษาดี คนไข้บอกต่อ
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีบริการให้การดูแลรักษาชั้นเยี่ยมในโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานระดับโลก ซึ่งมีค่าใช้จ่ายแบบเหมาจ่ายในราคาประหยัด ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยยังดูแลการพักฟื้นหลังการผ่าตัดรักษาทั้งในโรงแรมหรู และในเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจึงเป็นจุดหมายปลายทางของการทำศัลยกรรมตกแต่ง