ฮอร์โมนสำหรับบุคคลข้ามเพศ (HRT)
การให้ฮอร์โมนสำหรับบุคคลข้ามเพศ เป็นการปรับสภาพร่างกาย และจิตใจเบื้องต้น ให้เหมาะกับเพศ สภาพที่ต้องการ ก่อนเริ่มการรักษา หรือรับฮอร์โมน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการให้ฮอร์โมน เพื่อทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นหลังการรับฮอร์โมน ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ และการเข้ารับการรักษา โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการให้ฮอร์โมน จะมีความปลอดภัยมากกว่า เลือกใช้ยาฮอร์โมนเอง โดยทั่วไปแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการให้ฮอร์โมนสำหรับบุคคลข้ามเพศ จะต้องมีการพิจารณา หลักเกณฑ์ดังนี้:
- ได้รับการวินิจฉัย ว่าเป็นบุคคลข้ามเพศ ( Transgender ) ไม่พึงพอใจกับเพศสภาพที่เป็นอยู่ ต้องการเปลี่ยนเพศ ให้เหมาะกับสภาพจิตใจที่ต้องการเป็น ( Gender Identity Disorder)
- ต้องเข้าใจถึงประโยชน์ และความเสี่ยง หลังจากการรับฮอร์โมน
- เริ่มการรักษาให้ฮอร์โมน เมื่ออายุ 18 ปีขึ้นไป แต่หากอายุต่ำกว่า 18 ปี ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง ในมาตรฐานของ SOC WPATH Version 8 ( Standard of Care by World Professional Association for Transgender Health) ได้แนะนำการให้ฮอร์โมน ตั้งแต่ วัยรุ่น เพื่อปรับสภาพร่างกายและจิตใจ ให้ เหมาะกับเพศสภาพ เร็วขึ้น
- มีสุขภาพร่างกายดี พร้อมรับให้ฮอร์โมน และมีสุขภาพจิตใจที่ปกติ
การให้ฮอร์โมนสำหรับบุคคลข้ามเพศจากชายเป็นหญิง ( Male to Female)
1. ฮอร์โมน เอสโตรเจน (Estrrogen Hormone )
เป็น steroid hormone กระตุ้นการพัฒนาการ การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย และจิตใจมีลักษณะของเพศหญิง เช่นมีเต้านมโตขึ้น กล้ามเนื้อเปลี่ยนเป็นไขมัน ผิวพรรณสวยงามขึ้น มีหลากหลายชนิด หลากหลายรูปแบบ เช่น แบบฉีด แบบ รับประทาน แบบทา แบบแผ่น แปะ แต่ควรหลีกเลี่ยง การใช้ เอสโตรเจนบางชนิด เนื่องจากเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน ควรปรึกษาแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญในการให้ฮอร์โมนสำหรับบุคคลข้ามเพศ เพื่อเลือกยาที่ดีที่สุดที่เหมาะสมกับกับคนไข้ในแต่ละท่าน
2. ยาต้านแอนโดรเจน (Anti Androgen)
ช่วยกดการสร้างฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ( Testosterone ) ยาที่นิยมใช้กัน ได้แก่
- Spironolactone ยับยั้งเทสโทสเตอโรน แต่ต้องเฝ้าติดตามความดันโลหิต และ ระดับอิเล็กโทรไลต์ ในกระแสเลือด อาจจะถูกขับออกมากเกินไป
- Cyproterone acetate มีประสิทธิภาพดี แต่ต้องเฝ้าระวังปัญหาตับ ต้องตรวจเลือดเช็กตับ เป็นระยะๆ
- GnRH agonists เป็นตัวบล็อกการปล่อยฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน แต่มีค่าใช้จ่ายสูงและมักให้เป็นยาฉีด
- 5-alpha-reductase inhibitors นอกจากเป็นยาต้านฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนแล้ว มีประโยชน์ในการเจริญเติบโตของเส้นผม ไม่ทำให้ผมร่วง และผิวพรรณที่เปล่งปลั่งสดใส
การให้ฮอร์โมนสำหรับบุคคลข้ามเพศจากหญิงเป็นชาย ( Female to male )
ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone Hormone) มีหลากหลายรูปแบบ สามารถเลือก รับประทาน ทาผิว หรือฉีด แต่ควรใช้ขนาดต่ำสุดที่ให้ประสิทธิภาพการออกฤทธิ์ เพื่อให้สภาพร่างกายเปลี่ยนแปลง เป็นเพศชาย เช่น มีขน หนวด เครา มีกล้ามเนื้อแข็งแรง เสียงเปลี่ยน คริตอริสโตขึ้น ในขณะเดียวกันก็รักษาความหนาแน่นของมวลกระดูกได้
ผลทางกายภาพของการบำบัดด้วยฮอร์โมน
สำหรับบุคคลข้ามเพศจากหญิงเป็นชาย ( Female to male ) นี้หลังการให้ฮอร์โมนเพศชาย จะมีเสียงที่ลึกขึ้น การขยายของ คลิตอริส ขนตามร่างกายมากขึ้น ประจำเดือนหยุดลง เนื้อเยื่อเต้านมลดลง และมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น
สำหรับบุคคลข้ามเพศจากชายเป็นหญิง ( Male to Female) นี้หลังการให้ฮอร์โมนเพศหญิง จะมีการเจริญเติบโตของเต้านม การแข็งตัวของอวัยวะเพศชายลดลง ลูกอัณฑะเล็กลง ไขมันในร่างกายมากขึ้น และมวลกล้ามเนื้อลดลง
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลังการให้ฮอร์โมนเพศ จะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปภายในระยะเวลาประมาณหนึ่งถึงสองปี แต่อาจจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของฮอร์โมนเพศ แต่ละบุคคล
การให้ยาฮอร์โมน
การให้ฮอร์โมนมัก ได้รับการดูดซึม ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น ยาเม็ดรับประทาน แผ่นแปะ ยาทาผิว ยาฉีด หรือเจล ทาเฉพาะที่ การเลือกจะ เอาฮอร์โมนเข้าสู่ร่างกายแบบไหนนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่หลากหลาย เช่น ความชอบส่วนบุคคล ประสิทธิภาพการดูดซึม และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
การให้ฮอร์โมนในบุคคลข้ามเพศนั้น มักเริ่มที่ขนาดต่ำและค่อยๆเพิ่มขนาดขึ้น ไปเรื่อยๆ เพื่อให้ได้ผลต่อสภาพร่างกาย และ จิตใจต้องการในขณะเดียวกันก็ลดโอกาสเกิดความเสี่ยงให้น้อยที่สุด
บุคคลที่ได้รับการบำบัดด้วยฮอร์โมนควรปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญการให้ฮอร์โมน เกี่ยวกับขนาดยา การบริหารยา และการติดตามผล
การเฝ้าติดตามสุขภาพ
การเฝ้าติดตามระดับฮอร์โมนและสุขภาพโดยรวมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการบำบัดด้วยฮอร์โมน ซึ่งอาจรวมถึงการตรวจเลือดทุกๆ 6 เดือน เพื่อประเมินระดับฮอร์โมนในร่างกาย การทำงานของตับ ระดับไขมันในเลือด และพารามิเตอร์ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ
ผู้ผู้เชี่ยวชาญการให้ฮอร์โมน และ ให้บริการด้านสุขภาพ อาจเฝ้าติดตามผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดด้วยฮอร์โมน เช่น การเปลี่ยนแปลงของความดันโลหิต ระดับคอเลสเตอรอล หรือความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือด เป็นต้น
การประเมินความเสี่ยงและการปรับเปลี่ยนการให้ฮอร์โมนสำหรับบุคคลข้ามเพศ
เมื่อเริ่มการให้ฮอร์โมนสำหรับบุคคลข้ามเพศ (จากชายเป็นหญิงและจากหญิงเป็นชาย) การประเมินความเสี่ยงอย่างถี่ถ้วนและพิจารณาการปรับเปลี่ยนขนาดของฮอร์โมน เพื่อให้ความเสี่ยงน้อยที่สุดและประโยชน์สูงสุดเป็นสิ่งสำคัญ นี่คือภาพรวมของกระบวนการประเมินความเสี่ยงและการปรับเปลี่ยนที่เป็นไปได้สำหรับการรักษาด้วยฮอร์โมน:
- ประวัติทางการแพทย์ที่ครอบคลุม: รับประวัติทางการแพทย์ที่ครอบคลุม รวมถึงโรคที่มีอยู่ก่อน ประวัติครอบครัวของโรค สถานะการใช้ยาปัจจุบัน และการผ่าตัดก่อนหน้านี้ การประเมินสถานะสุขภาพเบื้องต้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการบำบัดด้วยฮอร์โมน
- การตรวจร่างกาย: ทำการตรวจร่างกายเพื่อประเมินสุขภาพโดยรวม รวมถึงสัญญาณชีพ ดัชนีมวลกาย (BMI) และข้อค้นพบทางกายภาพที่อาจมีผลต่อการตัดสินใจในการบำบัดด้วยฮอร์โมน
- การทดสอบในห้องปฏิบัติการ: ดำเนินการทดสอบในห้องปฏิบัติการเบื้องต้นเพื่อประเมินระดับฮอร์โมน การทำงานของตับ ระดับไขมันในเลือด แต่ละชนิด การตรวจเลือด (CBC) และพารามิเตอร์ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ สิ่งนี้ช่วยลดความเสี่ยง ของการให้ยา ต่อสุขภาพ และ สร้างค่าพื้นฐานก่อนการรักษาให้ฮอร์โมน เพื่อเปรียบเทียบระหว่างการให้ฮอร์โมน
- การประเมินความเสี่ยงทางหัวใจและหลอดเลือด: ประเมินปัจจัยเสี่ยงต่อหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงสถานะการสูบบุหรี่ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ เบาหวาน และประวัติครอบครัวของโรคหัวใจและหลอดเลือด ประเมินความเสี่ยงต่อหัวใจและหลอดเลือดของบุคคล เพื่อกำหนดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหลังจากการบำบัดด้วยฮอร์โมน เช่น ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ (VTE)
- การประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน: ประเมินปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน รวมถึงประวัติส่วนตัวหรือครอบครัวของ VTE โรคอ้วน การไม่เคลื่อนไหว และปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ผู้หญิงข้ามเพศ (จากชายเป็นหญิง) ที่ได้รับการบำบัดด้วยเอสโตรเจนมีความเสี่ยงต่อการเกิด VTE ที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องประเมินปัจจัยเสี่ยงของแต่ละบุคคลและพิจารณาค่าที่เปลี่ยนแปลงไป หลังการ ให้ฮอร์โมน เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น
- การประเมินสุขภาพกระดูก: ประเมินสถานะสุขภาพกระดูก รวมถึงการวัดความหนาแน่นของแร่ธาตุในกระดูก (BMD) เพื่อประเมินความหนาแน่นของกระดูกและความเสี่ยงต่อการแตกหัก การบำบัดด้วยฮอร์โมน โดยเฉพาะการบำบัดด้วยเทสโทสเตอโรนในผู้ชายข้ามเพศ (จากหญิงเป็นชาย) อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพกระดูกเมื่อเวลาผ่านไป
การปรับเปลี่ยนการให้ฮอร์โมนตามการประเมินความเสี่ยง
การปรับเปลี่ยนการให้ฮอร์โมนตามการประเมินความเสี่ยงอาจรวมถึง:
- การปรับขนาดยา: ปรับขนาดยาฮอร์โมนให้เป็นรายบุคคลตามปัจจัยเสี่ยง การตอบสนองต่อการรักษา และผลลัพธ์ที่ต้องการ ปรับขนาดยาฮอร์โมนตามความจำเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการรักษาในขณะที่ลดผลข้างเคียงให้น้อยที่สุด
- การเฝ้าติดตามและการตรวจสอบ: ดำเนินการตาม Protocol การเฝ้าติดตามและการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอเพื่อตรวจสอบการตอบสนองต่อการรักษา ตรวจหาผลข้างเคียง และตรวจพบภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นแต่เนิ่นๆ ซึ่งอาจรวมถึงการทดสอบ ในห้องปฏิบัติการเป็นระยะๆ การศึกษาเกี่ยวกับการถ่ายภาพ X ray และการประเมินทางคลินิก
- การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต: ส่งเสริมการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่อหัวใจและหลอดเลือด เช่น การเลิกสูบบุหรี่ การจัดการน้ำหนัก การออกกำลังกายเป็นประจำ และนิสัยการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การแก้ไขปัจจัยเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนได้สามารถช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดด้วยฮอร์โมน
- การให้รักษาการแพทย์ถ้าจำเป็น: พิจารณาทางการแพทย์เสริม เช่น การบำบัดด้วยยาต้านเกล็ดเลือดหรือการให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดเพื่อป้องกันในผู้ที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อเหตุการณ์ลิ่มเลือดอุดตัน ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพที่เชี่ยวชาญในการดูแลสุขภาพบุคคลข้ามเพศ เพื่อพัฒนาแผนการรักษาเฉพาะบุคคล ที่แก้ไขปัจจัยเสี่ยงเฉพาะ และเพิ่มประสิทธิภาพผลการรักษาด้านสุขภาพโดยรวม
เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักว่าการรักษาด้วยฮอร์โมนสำหรับบุคคลข้ามเพศ เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและเป็นรายบุคคล การประเมินและปรับเปลี่ยนขนาดยา เพื่อลดความเสี่ยงควรปรับให้เหมาะกับประวัติทางการแพทย์ ปัจจัยเสี่ยง ความชอบ และเป้าหมายการรักษาของแต่ละบุคคล การทำงานร่วมกันระหว่างบุคคลข้ามเพศและผู้ให้บริการด้านสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้มั่นใจถึงการเริ่มต้นและการจัดการการรับฮอร์โมนอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
ที่โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมล เราภูมิใจที่ได้มีโอกาสดูแล เอาใจใส่ บุคคลข้ามเพศทั้งชายเป็นหญิงและ หญิงเป็นชาย เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ของบุคคลข้ามเพศ ที่เลือกเข้ารับการให้ฮอร์โมนอย่างถูกต้อง โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการให้ฮอร์โมนมาดูแล พร้อมกับแพทย์อีกหลากหลายสาขาวิชาชีพ เพื่อดูแลสุขภาพร่างกาย และจิตใจของบุคคลข้ามเพศ ที่ต้องการการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาดูแลโดยเฉพาะเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของบุคคลข้ามเพศ ให้มีสุขภาพแข็งแรง อายุยืน และมีความสุข