นอกจากการเสริมหน้าอก หรือการผ่าตัดเปลี่ยนเสียงแล้ว การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะช่วยเหลือผู้ที่มีภาวะขัดแย้งทางจิตใจ ระหว่างการรับรู้ทางเพศ และสภาพร่างกายตั้งแต่กำเนิดที่ไม่สัมพันธ์กัน ซึ่งทางการแพทย์เรียกว่า Gender Dysphoria การผ่าตัดแปลงเพศช่วยให้มีอวัยวะเพศตรงตามเพศสภาพที่ต้องการ และดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขกับเพศสภาพที่เลือก จึงเป็นการผ่าตัดที่สำคัญที่สุด ซึ่งจะมีผลต่อวิถีชีวิตใหม่ ดังนั้น เราจึงควรหาข้อมูลเกี่ยวกับการผ่าตัดแปลงเพศให้ดีก่อนตัดสินใจ
ความสำคัญของการเลือกแพทย์ผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง
การผ่าตัดแปลงเพศต้องเลือกแพทย์ผู้ผ่าตัดซึ่งต้องมีประสบการณ์ และความชำนาญในการผ่าตัดเป็นอย่างดี การที่ผู้ชายแปลงเป็นผู้หญิงได้อย่างสมบูรณ์แบบมากที่สุด แพทย์จะต้องทำให้รูปร่างภายนอกของอวัยวะเพศใหม่สวยงามเหมือนธรรมชาติ ช่องคลอดมีความลึกเหมาะสมกับสภาพของร่างกาย และสามารถรับความรู้สึกทางเพศได้ดี การผ่าตัดแปลงเพศช่วยให้ผู้รับการผ่าตัดมีสภาพร่างกายสัมพันธ์กับจิตใจ สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข
ทำไมหลายคนเลือกผ่าตัดแปลงเพศกับนายแพทย์กมล
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 นายแพทย์กมล พันธุ์ศรีทุม มีประสบการณ์ในการผ่าตัดศัลยกรรมตกแต่ง และ แปลงเพศมากกว่า 10,000 ราย ผ่าตัดแปลงเพศ ชายเป็นหญิงและ หญิงเป็นชาย มากกว่า 5,000 ราย เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับจากศัลยแพทย์ทั่วโลก ว่าให้เป็นหนึ่งใน ผู้นำด้านการทำศัลยกรรมการผ่าตัดแปลงเพศ ทั้งชายเป็นหญิง และ หญิงเป็นชาย ได้มีการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ปรับเปลี่ยน พัฒนาเทคนิคใหม่ๆ ตลอดเวลาเพื่อให้ หญิงข้ามเพศ และชายข้ามเพศ ได้บรรลุเป้าหมายของการมีอวัยวะเพศใหม่ ที่สามารถใช้งานได้ใกล้เคียงธรรมชาติ มีความรู้สึกทางเพศ ความลึก ความสวยงาม และซ่อนแผลเป็น สร้างความมั่นใจให้กับหนุ่มสาวข้ามเพศ นอกจากนี้ ยังได้รับเชิญไปวิทยากร ในสถาบันที่มีชื่อเสียงของโลก เพื่อเผยแพร่ความรู้ และแบ่งปันประสบการณ์ ผลิตบทความวิชาการที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการชั้นนำของโลก
ดูประวัตินายแพทย์กมล พันธ์ศรีทุม
เป้าหมายการผ่าตัดแปลงเพศที่โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมล
ศัลยแพทย์ตกแต่งที่ทำการผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง จะนำผิวหนัง เนื้อเยื่อ และเส้นประสาทที่รับความรู้สึกทางเพศจากปลายอวัยวะเพศชายของผู้เข้ารับการผ่าตัดมาสรรสร้างให้เป็นอวัยวะเพศหญิงที่สมบูรณ์แบบ และต้องบรรลุจุดประสงค์ ดังนี้
1. ต้องทำให้มีอวัยวะเพศเหมือนผู้หญิงมากที่สุด
2. ต้องทำให้ผู้เข้ารับการผ่าตัดมีช่องคลอดที่ลึกที่สุด เท่าที่เนื้อเยื่อ หรือผิวหนังของคนไข้จะทำได้
3. ต้องเก็บรักษาเส้นประสาทความรู้สึกทางเพศมาไว้ที่ปุ่มรับความรู้สึกทางเพศของผู้หญิง (clitoris) เพื่อให้มีความรู้สึกทางเพศเมื่อถูกกระตุ้น
4. ต้องทำการผ่าตัดและตกแต่ง ซ่อนแผลเป็นให้เห็นน้อยที่สุด
เทคนิคการผ่าตัดเพื่อให้เกิดความรู้สึกทางเพศของนายแพทย์กมล
โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมล โดยนายแพทย์กมล พันธ์ศรีทุม เห็นความสำคัญของการสร้างอวัยวะเพศหญิงที่สวยงาม ให้เหมือนธรรมชาติ มีเทคนิคการผ่าตัดที่ซ่อนรอยแผลเป็น ใส่ใจในการรับความรู้สึกทางเพศ และความสุขที่จะได้รับจากการมีเพศสัมพันธ์ จึงได้คิดค้นและพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดเพื่อเก็บเส้นประสาททั้งหมดมาฝังไว้ในตำแหน่งต่าง ๆ ของอวัยวะเพศหญิง เพื่อให้เกิดการกระตุ้นและรับความรู้สึกทางเพศจากหลาย ๆ จุดพร้อมกัน เรามั่นใจว่าผู้เข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ ชายเป็นหญิง จากเรา จะมีความรู้สึกทางเพศ และมีการถึงจุดสุดยอดทางเพศอย่างแน่นอน โดย 5 ตำแหน่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกทางเพศ (Sexual Function and Sensation by Dr.Kamol's technique) มีรายละเอียด ดังนี้
1. ตามปกติ เส้นประสาทรับความรู้สึกที่คลิตอริส และ ปลายอวัยวะเพศชาย จะมีประมาณ 8,000 เส้น
2. เทคนิคของนายแพทย์กมล พันธ์ศรีทุม จะแยกเส้นประสาทจากปลายอวัยวะเพศชาย ออกเป็น 4 ส่วน แล้วนำไปฝ้งไว้ที่ส่วนต่าง ๆ ของอวัยเพศหญิงที่สร้างขึ้นใหม่ ดังนี้
2.1 จุดรับความรู้สึกที่ 1: นำเส้นประสาท หมายเลข 1 จากอวัยวะเพศชายไปสร้างเป็นคลิตอริส (ดังรูปที่ 1)
2.2 จุดรับความรู้สึกที่ 2: นำเส้นประสาท หมายเลข 1 ไปฝังไว้ที่ใต้แคมใน
2.3 จุดรับความรู้สึกที่ 3: ฝังเส้นประสาทที่ใต้ท่อปัสสาวะ ทั้งข้างซ้ายและข้างขวา
2.4 จุดรับความรู้สึกที่ 4: ต่อมคาวเปอร์ หรือ Bulbourethral glands ที่อยู่ด้านหน้าต่อมลูกหมาก เป็นต่อมที่มีเส้นประสาท และสร้างสารหล่อลื่น ทำให้เวลามีเพศสัมพันธ์ จะมีน้ำหล่อลื่น และความรู้สึกทางเพศที่ตำแหน่งนี้ เราเก็บต่อมนี้ไว้ และฝังใกล้ท่อปัสสาวะ [1]
2.5 จุดรับความรู้สึกที่ 5: G spot ซึ่งเป็นจุดรับความรู้สึกที่อยู่ใต้ต่อมลูกหมาก เราสร้างช่องคลอดให้ลึกที่สุด เข้าใกล้ต่อมลูกหมาก และ G spot [2]
3. ศัลยแพทย์บางคนอ้างว่าสามารถรักษาเส้นประสาทแบบความรู้สึกทางเพศเพียงผู้เดียวในโลก ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
4. ตำแหน่งของจุดรับความรู้สึกที่ปลายอวัยวะเพศชายจะนำมาทำและฝังไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของอวัยวะเพศหญิงที่สร้างขึ้นใหม่ (ดังแสดงในภาพที่ 1)
5. นายแพทย์กมล พันธ์ศรีทุม ได้พัฒนาเทคนิคใหม่ที่ทำให้เกิดแผลเป็นน้อยที่สุด (ดังแสดงในภาพที่ 2) เมื่อเทียบกับเทคนิคเดิมในอดีต (ดังแสดงในภาพที่ 3)
รูปที่ 1: เส้นประสาทจากอวัยวะเพศชายที่นำไปสร้างเป็นคลิสตอริส (หมายเลข 1)
ปลายอวัยวะเพศชายที่นำไปทำเป็นจุดรับความรู้สึกที่ 2 (หมายเลข 2)
รูปที่ 2: เทคนิคการผ่าตัดแปลงเพศของนายแพทย์กมล พันธ์ศรีทุม (มีรอยแผลเป็นอยู่ในร่องของแคมนอกและแคมใน แทบไม่เห็นรอย)
รูปที่ 3: เทคนิคการผ่าตัดแปลงเพศอื่น ๆ (มีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่เห็นชัดเจน ตรงแคมนอกและขาหนีบ)
คุณสมบัติของผู้ที่จะผ่าตัดแปลงเพศ
สำหรับผู้ที่จะเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงได้นั้น จะต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
1. ผู้เข้ารับการผ่าตัดต้องมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ หรือถ้าอายุไม่ถึง 20 ปี ต้องได้รับอนุญาตให้ผ่าตัดได้จากบิดา มารดา หรือผู้ปกครองที่ถูกต้องตามกฎหมาย
2. ต้องได้รับฮอร์โมนเพศหญิงติดต่อกันมาไม่น้อยกว่า 1 ปี
3. มีความรู้สึกเป็นผู้หญิงมานานแล้ว หรือตั้งแต่เริ่มจำความได้
4. เคยใช้ชีวิตแบบผู้หญิงมาไม่น้อยกว่า 1 ปี
5. รู้สึกรังเกียจอวัยวะเพศของตนเอง คิดว่าเป็นส่วนเกิน
6. ได้ผ่านการประเมินสภาพจิตใจ และได้รับใบรับรองจากจิตแพทย์ว่าอยู่ในภาวะที่ปกติ และเหมาะสมที่เข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศได้
7. ต้องมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์ แข็งแรง
ความสำคัญของการประเมินสภาพจิตใจก่อนผ่าตัดแปลงเพศ
สิ่งสำคัญของการประเมินสภาพจิตใจก่อนผ่าตัด เพื่อให้มั่นใจว่าบุคคลนั้นมีความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ช่วยคัดกรองปัญหาสุขภาพจิตที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจ เช่น ภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล หรือความผิดปกติทางจิตเวชอื่นๆ ซึ่งอาจทำให้รู้สึกว่าตัดสินใจผิดพลาด หรือรู้สึกเสียใจในภายหลังได้ นอกจากนี้ยังมีการประเมินความคาดหวัง ความเข้าใจ และการวางแผนชีวิตหลังการผ่าตัด เพื่อให้ผู้เข้ารับการผ่าตัดมีความพร้อมในการปรับตัวกับการใช้ชีวิตในเพศสภาพใหม่ได้อย่างราบรื่น
เมื่อจิตแพทย์มั่นใจแล้วว่าบุคคลมีสภาพจิตใจมั่นคง มีความเข้าใจที่ถูกต้อง และพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง จึงจะออกใบรับรองความพร้อมให้ ซึ่งการรับรองนี้ถือเป็นขั้นตอนสำคัญตามมาตรฐานสากลในการดูแลบุคคลข้ามเพศ เพื่อป้องกันผลเสียที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้เข้ารับการผ่าตัดนั่นเอง
5 เทคนิคการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง
โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมลใช้เทคนิคการผ่าตัดแปลงเพศ ชายเป็นหญิง เพื่อสร้างและออกแบบช่องคลอดสำหรับคนแปลงเพศให้สัมพันธ์กับสภาพร่างกายตามธรรมชาติ ดังนี้
1. การสร้างช่องคลอดที่ไม่มีความลึก (Vaginoplasty without depth)
เทคนิคที่ 1: การสร้างช่องคลอดที่ไม่มีความลึก (Vaginoplasty without depth)
เทคนิคนี้ใช้ผิวหนังจากอวัยวะเพศชายและถุงอัณฑะมาสร้างเป็นอวัยวะภายนอก เช่น แคมใน และแคมนอก คลิตอริส กลีบคลุมคลิตอริส และท่อปัสสาวะของผู้หญิง วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการการสอดใส่ทางช่องคลอด ช่องคลอดที่ได้เหมือนช่องคลอดตามธรรมชาติ แต่ไม่มีความลึก คนไข้ที่เข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศด้วยวิธีนี้จะฟื้นตัวเร็ว
2. การสร้างช่องคลอดโดยใช้ผิวหนังจากอวัยวะเพศชาย (Skin Inversion Technique)
เทคนิคนี้นำผิวหนังของอวัยวะเพศชายสอดกลับเข้าไปตกแต่งทำเป็นช่องคลอด เป็นวิธีที่ง่าย ไม่ซับซ้อน ภาวะแทรกซ้อนน้อย ศัลยแพทย์นิยมใช้เทคนิคนี้ในการผ่าตัดแปลงเพศอย่างแพร่หลาย
ข้อดี
เป็นวิธีที่ทำได้ง่ายและไม่ซับซ้อน สำหรับแพทย์ผู้ที่มีความชำนาญและมี ประสบการณ์ จะใช้เวลาในการผ่าตัดแปลงเพศ โดยใช้เทคนิคนี้ ประมาณ 4 ชั่วโมง นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 4 คืน
ข้อเสีย
ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความยาวของอวัยวะเพศชายสั้นกว่า 4 นิ้ว เพราะจะทำให้ได้ช่องคลอดที่ไม่ลึก (โดยปกติแล้วความลึกของช่องคลอดเท่ากับความยาวของหนังที่หุ้มองคชาต ลบ 1 นิ้ว (เผื่อผิวหนังที่จะใช้ทำแคมใน ) ระยะยาวหนังหุ้มช่องคลอดมักจะย้อยออกมา
3. การสร้างช่องคลอดโดยใช้ผิวหนังจากอวัยวะเพศชาย และผิวหนังจากถุงอัณฑะ (Skin graft Technique)
เทคนิคที่ 3: เทคนิคการสร้างช่องคลอดโดยใช้ผิวหนังจากอวัยวะเพศชาย และจากผิวหนังจากถุงอัณฑะ (Skin graft Technique)
เทคนิคการผ่าตัดแปลงเพศนี้เกิดจากการนำเอาผิวหนังจากอวัยวะเพศชายแล้วต่อด้วยผิวหนังจากถุงอัณฑะ มาเลาะให้มีผิวหนังบางๆ ไปทำเป็นผิวหนังหุ้มผนังช่องคลอด เพื่อเพิ่มความลึกของช่องคลอด ให้ได้ตามที่ต้องการและเพียงพอต่อการใช้งาน ถ้าต่อผิวหนังจากถุงอัณฑะแล้วยังได้ความลึกไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ผ่าตัด ศัลยแพทย์ตกแต่งอาจจะพิจารณานำผิวหนังจากที่อื่น เช่น ต้นขา ขาหนีบ หน้าท้อง มาเพิ่มเป็นผนังของช่องคลอดให้ความลึกเพิ่มอีกก็ได้
ข้อดี
สามารถช่วยให้คนที่มีอวัยวะเพศชายสั้น มีโอกาสได้ช่องคลอดลึกมากกว่า 6 นิ้วได้
ข้อเสีย
การผ่าตัดจะยุ่งยากซับซ้อน และใช้เวลาผ่าตัดนานมากขึ้น เทคนิคนี้แพทย์ผู้มีประสบการณ์และความชำนาญในการผ่าตัดแปลงเพศ ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 6 คืน
4. การสร้างช่องคลอดโดยใช้ลำไส้ใหญ่ทำเป็นผนังช่องคลอด (Colon Vaginoplasty Technique)
เทคนิคที่ 4: การสร้างช่องคลอดโดยใช้ลำไส้ใหญ่ทำเป็นผนังช่องคลอด (Colon Vaginoplasty Technique) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นหญิงสมบูรณ์แบบมากที่สุด เพราะลำไส้ใหญ่จะมีน้ำหล่อลื่นตามธรรมชาติ (Self-lubricant) หรือเป็นการผ่าตัดเพื่อช่วยเหลือผู้ที่เคยผ่าตัดแปลงเพศมาแล้วช่องคลอดตีบตัน ไม่สามารถร่วมเพศได้ โดยนำลำไส้ใหญ่บางส่วน ประมาณ 7-8 นิ้ว มาสร้างเป็นผนังช่องคลอด โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมลมีเทคนิคในการนำลำไส้ใหญ่มาเป็นผนังช่องคลอด 2 เทคนิค ได้แก่
4.1 แบบเปิดแผลหน้าท้อง (Open Colon Vaginoplasty Technique) จะมีรอยแผลตามขอบบิกินี่ ด้านซ้ายของคนไข้ยาวประมาณ 7-10 เซนติเมตร ลำไส้ใหญ่ที่นำมาทำเป็นผนังช่องคลอด ยาวประมาณ 7-8 นิ้ว โดยลำไส้ที่ตัดออกมาจะมีเส้นเลือดและเส้นประสาทมาหล่อเลี้ยงด้วย ระยะเวลาในการผ่าตัดประมาณ 7 ชั่วโมง
4.2 แบบใช้กล้อง (Laparoscopic Colon Vaginoplasty Technique) เทคนิคนี้เป็นเทคนิคใหม่ล่าสุดที่มีการนำลำไส้ใหญ่มาทำเป็นผนังช่องคลอดโดยปราศจากแผลเป็นที่หน้าท้อง โดยใช้เครื่องมือพิเศษในการผ่าตัด สามารถตัดลำไส้มาทำเป็นผนังช่องคลอดได้ยาว 7-8 นิ้ว ไม้มีรอยแผลเป็น มีแต่รูเจาะผนังหน้าท้อง 4 รูเท่านั้น การผ่าตัดฟื้นตัวเร็วกว่าการเปิดแผลหน้าท้อง การผ่าตัดใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง
ข้อดี
1. มีน้ำหล่อลื่นในช่องคลอดตลอดเวลา
2. มีความลึกมากกว่าเทคนิคอื่นๆ
ข้อเสีย
- อาจเกิดแผลเป็นยาวประมาณ 7 -10 เซนติเมตร เหนือหัวเหน่าด้านซ้าย
- การผ่าตัดมีความยุ่งยากซับซ้อนต้องมีการเตรียมการผ่าตัดเอาส่วนของลำไส้ใหญ่ออกมา โดยต้องมีการสวนล้างลำไส้ใหญ่ให้สะอาดก่อนผ่าตัด 1 วัน
- ผู้เข้ารับการผ่าตัดอาจจะมีอาการท้องอืด 2 – 3 วัน หลังการผ่าตัด
- การผ่าตัดโดยใช้ลำไส้ใหญ่มาทำเป็นผนังช่องคลอดไม่เหมาะกับผู้ที่มีน้ำหนักมาก หรือมีหน้าท้องหนา ค่า BMI ไม่ควรเกิน 27
- ไม่สามารถผ่าตัดกับผู้ที่เคยมีประวัติเป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Chronic Colitis) หรือ Crohn's disease
5. เทคนิคการสร้างช่องคลอดโดยใช้ผนังหน้าท้องร่วมกับผิวหนังจากอวัยวะเพศชาย (Penile-Peritoneal Vaginoplasty: PPV)
เทคนิคที่ 5: การสร้างช่องคลอดโดยใช้ผนังหน้าท้องร่วมกับผิวหนังจากอวัยวะเพศชาย (Penile-Peritoneal Vaginoplasty: PPV) หรือการผ่าตัดแปลงเพศด้วยผนังหน้าท้อง (PPV) เป็นเทคนิคใหม่ที่ผสมผสานระหว่างการนำเอาผิวหนังจากอวัยวะเพศชาย และเนื้อเยื่อจากผนังหน้าท้องด้านใน ( Peritoneal) ดึงลงมาต่อกัน เพื่อทำช่องคลอดเทียม การผ่าตัดเอาผนังหน้าท้องด้านในออกมา มี 2 วิธี คือ
5.1 การผ่าตัดด้วยกล้อง (Laparoscope Method) จะนิยมมากกว่า เพราะไม่มีแผลเป็น
5.2 การผ่าตัดด้วยการเปิดหน้าท้อง (Open Method)
ข้อดี
1. เทคนิคนี้สามารถทำเมื่อผ่าตัดแปลงเพศเป็นครั้งแรก หรือแก้ไขการผ่าตัดแปลงเพศที่มีช่องคลอดตื้นได้ สามารถใช้เทคนิคนี้เพื่อเพิ่มความลึกให้ช่องคลอด
2. เทคนิคนี้จะมีประโยชน์สำหรับคนที่ผ่าตัดแปลงเพศด้วยลำไส้มาแล้ว แล้วเกิดรอยต่อระหว่างผิวหนังกับลำไส้ที่หดตัว ไม่สามารถร่วมเพศได้ ผนังหน้าท้อง (Peritoneum) จะช่วยแก้ไขได้
3. ช่องคลอดจะมีน้ำหล่อลื่น และยืดหยุ่นเป็นธรรมชาติ
4. เป็นทางเลือกสำหรับคนไข้ที่ไม่สามารถผ่าตัดแปลงเพศแบบต่อลำไส้ เช่น คนที่มีประวัติเป็นโรค Cronh's disease หรือโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
5. ใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่าแบบผ่าตัดด้วยลำไส้
6. มีความเสี่ยงเรื่องการทำงานของลำไส้ผิดปกติน้อยกว่า เช่น ลำไส้ไม่เคลื่อนไหว
7. มีน้ำหล่อลื่นแบบธรรมชาติ
ข้อเสีย
1. ไม่สามารถใช้กับคนไข้ที่มีอวัยวะเพศสั้นมากได้
2. คนไข้อาจมีอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย 2-3 วันหลังผ่าตัด
3. ไม่เหมาะกับคนที่น้ำหนักเยอะ หรือไขมันหน้าท้องหนา เพราะจะทำให้ผ่าตัดยาก คนอ้วนหรือมีไขมันสะสมที่หน้าท้องเยอะต้องตรวจร่างกายก่อน
4. การติดตามผลหลังการผ่าตัดด้วยเทคนิคนี้ยังไม่นานพอ
5. อาจมีการผ่าตัดแก้ไขช่องคลอดใหม่ โดยเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่น หาก 1 ปีหลังผ่าตัด รอยต่อระหว่างผิวหนังกับผนังหน้าท้องมีปัญหา
6. มีโอกาสมองเห็นแผลเป็น (Scar) ถ้าเลือกเทคนิคการเปิดแผลหน้าท้อง เพื่อนำผนังหน้าท้อง (Peritoneum) มาใช้ แพทย์จะเปิดแผลหน้าท้อง แนวบิกินี่ด้านซ้ายประมาณ 10-12 เซนติเมตร
7. มีความซับซ้อนในการผ่าตัดมากกว่าเทคนิคอื่น
ระยะเวลาในการผ่าตัด 4-6 ชั่วโมง
การกำจัดขนที่อวัยวะเพศชาย ก่อนผ่าตัดแปลงเพศ
รูปที่ 4: ตำแหน่งของการกำจัดขน
การกำจัดขนที่อวัยวะเพศชาย ก่อนผ่าตัดแปลงเพศ
เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานของอวัยวะเพศชาย ขนาด ปริมาณผิวหนังแตกต่างกันไป ความต้องการให้ช่องคลอดลึก หรือมีการหล่อลื่นแตกต่างกันไป การกำจัดขนของแต่ละเทคนิคที่เลือกก็แตกต่างกันด้วย ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. การผ่าตัดแปลงเพศแบบไม่มีช่องคลอด ไม่ต้องกำจัดขน
2. การผ่าตัดแปลงเพศแบบใช้ผิวหนังมาทำช่องคลอด ต้องกำจัดขนบริเวณหมายเลข 1 2 และ 3 ดังแสดงในรูปที่ 4
3. การผ่าตัดแปลงเพศแบบใช้ผิวหนังมาทำช่องคลอด ต้องกำจัดขนบริเวณหมายเลข 3 ประมาณ 5x6 เซนติเมตร ที่ฐานของอวัยวะเพศชาย ดังรูปที่ 4
4. การผ่าตัดแปลงเพศแบบใช้ลำไส้ ต้องกำจัดขนบริเวณปากทางเข้าช่องคลอด บริเวณหมายเลข 3 ประมาณ 5x6 เซนติเมตร ที่ฐานของอวัยวะเพศชาย ดังรูปที่ 4
5. การผ่าตัดแปลงเพศแบบใช้ผิวหนังอวัยวะเพศชาย ร่วมกับผนังหน้าท้อง ต้องกำจัดขน บริเวณหมายเลข 1 2 และ 3 ดังรูปที่ 4
วิธีการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง
วิธีการผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิงมีดังนี้
1. เป็นการผ่าตัดโดยการให้ยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์
2. ทำการสร้างช่องคลอดใหม่โดยเจาะบริเวณกล้ามเนื้อที่อยู่ระหว่างทวารหนักกับท่อปัสสาวะ ลึกประมาณ 6-7 นิ้ว
3. การนำผิวหนังจากบริเวณอวัยวะเพศชายเดิมหรือจากถุงอัณฑะไปสร้างเป็นผนังช่องคลอดจะได้ช่องคลอดใหม่เหมือนผู้หญิง
4. เก็บเส้นประสาทรับความรู้สึกทางเพศ เพื่อเตรียมทำปุ่มรับความรู้สึกทางเพศ (Clitoris) แล้วตัดแกนอวัยวะเพศชายออก
5. ตัดท่อปัสสาวะเพศชายให้สั้นลง แล้วตกแต่งให้สามารถปัสสาวะพุ่งลงเหมือนผู้หญิง ถ้าทำการผ่าตัดไม่ดี ปัสสาวะอาจพุ่งขึ้น เวลานั่งปัสสาวะ
6. ตกแต่งบริเวณภายนอก ได้แก่ แคมนอก (Major Labia) แคมใน (Minor Labia) ท่อปัสสาวะ และปุ่มรับความรู้สึกทางเพศ (Clitoris) ให้สวยงามเหมือนอวัยวะเพศหญิงที่สมบูรณ์ และยังคงมีความรู้สึกทางเพศเหมือนเดิม
การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง
วิธีการเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดแปลงเพศ ชายเป็นหญิง มีดังนี้
- พบจิตแพทย์ เพื่อทำการประเมินสภาพจิตใจก่อนผ่าตัด พร้อมใบรับรองจากจิตแพทย์
- ปรึกษาศัลยแพทย์ที่จะผ่าตัดแปลงเพศ พร้อมตรวจร่างกาย เอกซเรย์ปอด (Chest X-ray) ตรวจเลือด ตรวจ EKG และ Stress test ถ้าอายุเกิน 40 ปี
- หยุดฮอร์โมน 1-2 สัปดาห์
- หยุดยาจำพวกแอสไพริน ยาลดอาการอักเสบ หรือสมุนไพรที่อาจทำให้เลือดออกผิดปกติ หยุดยาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ หรือตามแพทย์สั่ง
- หยุดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อลดโอกาสเลือดไปเลี้ยงบาดแผลไม่ดี
- เตรียมอาหาร ที่อยู่อาศัย หลังการผ่าตัด 1-2 สัปดาห์ เพื่อทำแผลและขยายช่องคลอด
การดูแลแผลหลังการผ่าตัดแปลงเพศ แบบที่ไม่ใช้ลำไส้
คนไข้จะต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล อย่างน้อย 4- 6 คืน เพื่อดูแลรักษาแผล ในระหว่างที่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล คนไข้จะต้องปฏิบัติตัว ดังนี้
1. งดรับประทานอาหารที่มีกาก และเครื่องดื่มจำพวกน้ำผลไม้ นม นมเปรี้ยว โยเกิร์ต เพราะจะกระตุ้นให้ขับถ่ายในช่วง 2 วันแรกหลังผ่าตัด ทำให้แผลปนเปื้อนอุจจาระ
2. หลังผ่าตัด 1-2 วันแรก คนไข้ควรนอนหงาย ยกสะโพกให้สูง และแยกขาทั้ง 2 ข้างออกจากกันเล็กน้อย เพื่อช่วยลดอาการบวม
3. วันที่ 3 หลังการผ่าตัด คนไข้สามารถนอนตะแคงได้
4. วันที่ 4 หลังการผ่าตัด แพทย์ผู้ผ่าตัดจะถอดสายระบายเลือดเสียออก และเปิดแผลเพื่อทำความสะอาด ถอดสายสวนปัสสาวะออก คนไข้ที่เข้ารับการผ่าตัดด้วยเทคนิคการสร้างช่องคลอดโดยใช้ผิวหนังจากอวัยวะเพศชายสามารถกลับบ้านได้ และมาตัดไหมในวันที่ 7
สำหรับผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดด้วยเทคนิคการสร้างช่องคลอดโดยใช้ผิวหนังจากอวัยวะเพศชายและผิวหนังจากถุงอัณฑะหรือจากส่วนอื่นมาทำเป็นผนังช่องคลอด หรือผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดด้วยเทคนิคการสร้างช่องคลอดโดยใช้ลำไส้ใหญ่มาทำเป็นผนังช่องคลอด แพทย์จะยังไม่ถอดสายสวนปัสสาวะออก และคนไข้ต้องนอนอยู่บนเตียงจนถึงวันที่ 6 ของการผ่าตัด
5. วันที่ 6 ของการผ่าตัด คนไข้ที่เข้ารับการผ่าตัดด้วยเทคนิคการสร้างช่องคลอดโดยใช้ผิวหนังจากอวัยวะเพศชายและผิวหนังจากถุงอัณฑะหรือจากบริเวณอื่นมาทำเป็นผนังช่องคลอด ต้องเปิดบาดแผลเพื่อทำความสะอาด และนำผ้าก๊อสที่อยู่ในช่องคลอดออก
6. วันที่ 7 ของการผ่าตัดด้วยเทคนิคการสร้างช่องคลอดโดยใช้ผิวหนังจากอวัยวะเพศชายและผิวหนังจากถุงอัณฑะหรือจากบริเวณอื่นมาทำเป็นผนังช่องคลอด คนไข้สามารถพบแพทย์เพื่อตัดไหมและขยายช่องคลอด โดยใช้ Dilator ที่โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมลจัดเตรียมให้ ควรหมั่นขยายช่องคลอดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 นาที เพื่อรักษาความกว้างและเพิ่มความลึกของช่องคลอดให้คงที่
7. คนไข้ที่เข้ารับการผ่าตัดต้องทำความสะอาดแผล และขยายช่องคลอดทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง จนกว่าแผลภายนอกและภายในช่องคลอดจะหายสนิท
8. คนไข้ต้องงดการมีเพศสัมพันธ์ อย่างน้อย 2 เดือน
9. คนไข้ต้องมาพบแพทย์ตามนัดหมาย ทุก 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด จนครบ 1 เดือน เพื่อให้ผลการผ่าตัดสมบูรณ์ สวยงาม และใกล้เคียงธรรมชาติ
การดูแลแผลหลังการผ่าตัดแปลงเพศ แบบที่ใช้ลำไส้
1. ในช่วง 3 วันแรก คนไข้ไม่สามารถกินและดื่มจนกว่าลำไส้จะทำงานตามปกติ ในช่วงนี้ คนไข้จะได้รับน้ำเกลือ และสารอาหาร คนไข้ต้องรับประทานอาหารอ่อน ที่ย่อยง่าย ในช่วงเดือนแรก คนไข้สามารถทำกิจกรรมเบา ๆ หลังผ่าตัดแล้ว 3 สัปดาห์ และใชัชีวิตตามปกติได้หลังผ่าตัดแล้ว 3 เดือน
2. คนที่เข้ารับการผ่าตัดด้วยเทคนิคการสร้างช่องคลอดโดยใช้ลำไส้ใหญ่มาทำเป็นผนังช่องคลอด จะงดน้ำและอาหารหลังการผ่าตัดจนกระทั่งมีอาการผายลมก่อน จึงจะเริ่มจิบน้ำ และรับประทานอาหารเหลวได้ ถ้ารับประทานอาหารเร็วเกินไป อาจเกิดอาการท้องอืด และอาหารไม่ย่อย ดังนั้น ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดด้วยเทคนิคการสร้างช่องคลอดโดยใช้ลำไส้ใหญ่มาทำเป็นผนังช่องคลอด ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และพยาบาลอย่างเคร่งครัด
3. คนไข้สามารถถอดสายสวนปัสสาวะออก และกลับบ้านได้ 7 วันหลังผ่าตัด
4. คนไข้ต้องกลับมาพบแพทย์ เพื่อตัดไหมและขยายช่องคลอด โดยใช้ Dilator ที่โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมลจัดเตรียมให้ ควรหมั่นขยายช่องคลอดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 นาที เพื่อรักษาความกว้างและเพิ่มความลึกของช่องคลอดให้คงที่
5. คนไข้ที่เข้ารับการผ่าตัดต้องทำความสะอาดแผล และขยายช่องคลอดทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง จนกว่าแผลภายนอกและภายในช่องคลอดจะหายสนิท
6. คนไข้ต้องงดการมีเพศสัมพันธ์ อย่างน้อย 2 เดือน
7. คนไข้ต้องมาพบแพทย์ตามนัดหมายทุก 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด จนครบ 1 เดือน เพื่อให้ผลการผ่าตัดสมบูรณ์ สวยงาม และใกล้เคียงธรรมชาติ
ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
- แผลบวม (Swelling)
- มีรอยซ้ำ (Bruising)
- มีเลือดคั่ง (Hematoma)
- มีเลือดออก (Bleeding)
- ติดเชื้อ (Infection)
- ช่องคลอดทะลุเข้าลำไส้ (Recto-vaginal fistula)
- แผลสมานตัวช้า (Poor healing)
- เนื้อตาย (Flap necrosis)
- ช่องคลอดตีบ หรือ ท่อปัสสาวะตีบ (Vaginal and Urethral stenosis)
- ไม่พอใจในขนาด และรูปทรงของช่องคลอด ท่อปัสสาวะ และคลิสตอริส (Unsatisfied size or shape of vaginal urethral and clitoris)
- ปวดแผล (Pain) อาจใช้ยาแก้ปวดได้
- แคมอาจจะไม่เท่ากัน (Asymmetric Labia)
- มีรอยแผลเป็น (Scarring)
- มีความรู้สึกทางเพศลดลง (Decreased Sensation)
- ผุ้ป่วยที่มีประวัติโรคเลือด อาจจะเกิด deep vein thrombosis ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อป้องกัน โดยใส่เครื่องมือไล่เลือดที่ขาตลอดเวลา อย่างน้อย 2-3 วัน
- ความเสี่ยงจากผลข้างเคียงของการดมยาสลบ (Risk from anesthesia)
สาระน่ารู้: การผ่าตัดแปลงเพศ ชายเป็นหญิง
ทำไม ต้องมีการฟื้นฟูช่องคลอดจาก การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง แบบใช้ลำไส้ ?
การฟื้นฟูช่องคลอดหลัง การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง แบบใช้ลำไส้ เพื่อรักษาช่องคลอดที่สร้างมาจากลำไส้ คงความชุ่มชื้น มีน้ำหล่อลื่น ตลอดไป
การผ่าตัด สร้างช่องคลอดในหญิง ที่ไม่มีมาแต่กำเนิด MRKH
การผ่าตัดสร้างช่องคลอดใหม่ในผู้หญิงที่ไม่มีช่องคลอดมาแต่กำเนิด โดยทั่วไปอัตราการเกิดของโรค MRKH จะพบในเพศหญิง 1 ต่อ 4,500 คน
การขยายช่องคลอดที่สร้างขึ้นจากการศัลยกรรมตกแต่ง
ช่องคลอดที่เกิดจากการทำศัลยกรรมมีโอกาสที่จะหดตัว และความยืดหยุ่นลดน้อยลง ถ้าไม่ไปกระตุ้นหรือขยายบ่อย ๆ เพื่อให้หนังมีความยืดหยุ่น
รูปหลังการผ่าตัดแปลงเพศ ชายเป็นหญิง
ดูเพิ่มเติมภาพหล้งผ่าตัดแปลงเพศ
วีดีโอรีวิว การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงที่โรงพยาบาลกมล
ทำไมโรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมล จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในโลกของการผ่าตัดแปลงเพศ
โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมลได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ดีที่สุดของโลกในด้านการผ่าตัดศัลยกรรมแปลงเพศมานานหลายทศวรรษ เพราะมีผลการผ่าตัดที่ดี โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมลเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง และแปลงเพศที่ใหญ่ที่สุดและได้มาตรฐานระดับโลก
โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมลให้บริการศัลยกรรมตกแต่ง และแปลงเพศด้วยเทคนิคที่หลากหลาย เช่น การสร้างช่องคลอดที่ไม่มีความลึก การสร้างช่องคลอดโดยใช้ผิวหนังจากอวัยวะเพศชาย การสร้างช่องคลอดจากลำไส้ใหญ่ด้วยเทคนิคทั้งแบบเปิดหน้าท้องและส่องกล้อง อีกทั้ง เทคนิคใหม่ล่าสุด เช่น การสร้างช่องคลอดจากผนังหน้าท้องร่วมกับผิวหนังของอวัยวะเพศชาย
เทคนิคการผ่าตัดแปลงเพศที่โดดเด่น และเป็นที่ยอมรับของโลกของนายแพทย์กมล พันธ์ศรีทุม จะซ่อนรอยแผลเป็นไว้ระหว่างแคมนอกและแคมใน ซึ่งแตกต่างจากเทคนิคการผ่าตัดแปลงเพศแบบดั้งเดิมของศัลยแพทย์ท่านอื่นที่จะเห็นรอยแผลเป็นขนาดใหญ่มาก ทำให้ผู้เข้ารับการผ่าตัดไม่มั่นใจในตัวเอง เมื่อต้องดูสรีระเรือนร่างของตัวเอง ราวกับตอกย้ำความเป็นเพศที่สาม เทคนิคการซ่อนรอยแผลเป็นทำให้รูปลักษณ์ภายนอกของอวัยวะเพศหญิงของคนแปลงเพศดูสวยงาม คล้ายอวัยวะเพศของผู้หญิงโดยกำเนิด นายแพทย์กมล พันธ์ศรีทุม เป็นศัลยแพทย์ที่สามารถสรรสร้างอวัยวะเพศหญิงได้อย่างงดงามตามรูปแบบที่คุณใฝ่ฝัน
นายแพทย์กมล พันธ์ศรีทุม มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการผ่าตัดแปลงเพศ ชายเป็นหญิง หรือหญิงเป็นชายมามากกว่า 10,000 ราย ท่านเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับของคณะศัลยแพทย์ตกแต่งระดับโลก และเป็นผู้นำทีมแพทย์ที่มีชื่อเสียงในการทำศัลยกรรมตกแต่งและแปลงเพศซึ่งประกอบด้วยทีมศัลยแพทย์ด้านลำไส้ใหญ่และทวารหนัก แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินปัสสาวะ วิสัญญีแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากที่ชำนาญการผ่าตัดแปลงเพศ มาทำงานสรรสร้างความฝันของคนข้ามเพศทั่วโลกให้มีโอกาสใช้ชีวิตอย่างปกติสุข
นอกจากนี้ โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมลได้รับการรับรองจากมาตรฐาน JCI (Joint Commission International) ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลกที่แสดงให้เห็นว่าเป็นโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงในการดูแลรักษาพยาบาล