รู้ก่อนตัดสินใจ! การดูดไขมันคืออะไร ช่วยลดน้ำหนักได้จริงไหม
การดูดไขมัน เป็นการปรับรูปร่างให้ได้สัดส่วนสวยงาม มีส่วนเว้า ส่วนโค้งได้อย่างที่ต้องการ และนอกจากการศัลยกรรมซิกซ์แพ็ก การดูดไขมันก็สามารถปรับแต่งให้เป็นร่องกล้ามเนื้อหน้าท้องได้อีกด้วย อีกทั้งรอยแผลผ่าตัดมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แผลในบางตำแหน่งก็แทบจะมองไม่เห็นเลย เช่น การดูดบริเวณหน้าท้องแล้วซ่อนแผลไว้ที่ในสะดือ การดูดไขมันทั้งตัวเพื่อปรับรูปร่าง หรือดูดแค่บางส่วน เช่น บริเวณหน้าท้อง แขนขา เป็นต้น
การผ่าตัดดูดไขมัน (Liposuction)
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ มีความปลอดภัย ศัลยแพทย์แนะนำให้ดมยาสลบ เพราะจะสามารถดูดไขมันได้ในปริมาณมากตามที่ต้องการ พร้อมทั้งปรับรูปร่างให้ได้สัดส่วนตามที่ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญออกแบบไว้ ถ้าไม่ดมยาสลบ จะมีโอกาสดูดได้น้อย ไม่ลึกพอ เพราะคนไข้จะเจ็บทนไม่ไหว การดูดจะไม่เรียบเนียน เป็นคลื่น และต้องใช้ยาชาผสมอดรีนาลีน (Adrenaline) ปริมาณมาก ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเต้นของหัวใจจะเร็ว แรง และถี่มากขึ้น จนเกิดอันตรายแก่ชีวิตได้ สำหรับการดูดไขมันเฉพาะส่วนในขนาดพื้นที่ที่ไม่มากเกินไปอาจใช้เพียงแค่ยาชา แต่ต้องพิจารณาเป็นกรณีไป
ดูดไขมันจุดไหนในร่างกายได้บ้าง
เมื่ออายุมากขึ้น การเผาผลาญพลังงานในร่างกายก็ลดน้อยลง ทำให้เกิดการสะสมของไขมันส่วนเกินตามบริเวณต่าง ๆ เช่น หน้าท้อง สะโพก ก้น ต้นขา ต้นแขน คอ ฯลฯ ทำให้รูปร่างไม่สวยงามเหมือนเดิม การดูดไขมันสามารถแก้ปัญหาเรื่องไขมันส่วนเกินต่าง ๆ ได้ แต่ไม่ใช่วิธีการลดความอ้วน เป็นการขจัดไขมันสะสมเฉพาะจุดออกเท่านั้น โดยสามารถขจัดไขมันสะสมในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดังนี้
ดูดไขมันต้นแขน
ถ้ามีการสะสมไขมันที่ต้นแขนเป็นจำนวนมาก บางครั้งการลดน้ำหนักอาจจะไม่ได้ผลดี การดูดไขมันเพื่อปรับลดขนาดต้นแขนให้เล็กลง จะทำให้ดูสมส่วนมากขึ้น
ดูดไขมันต้นขา
ต้นขาก็เป็นที่ตำแหน่งหนึ่งที่มีการสะสมไขมัน เป็นจำนวนมาก ทำให้ดูต้นขาใหญ่ ใส่เสื้อผ้าไม่สวยงาม การลดต้นขาที่ดีที่สุดคือการดูดไขมันต้นขา เพราะทำได้สะดวก รวดเร็ว และได้รูปทรงที่สวยงาม
ดูดไขมันหน้าท้อง
หน้าท้องเป็นแหล่งสะสมไขมันอีกจุดหนึ่งที่พบเป็นจำนวนมาก ทำให้มีหน้าท้องใหญ่ และหย่อนยาน การดูดไขมันหน้าท้อง เพื่อขจัดไขมันส่วนเกินออก เพื่อให้รูปร่างสมดุลกับส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เกิดความมั่นใจในการใส่เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย
ดูดไขมันสะโพก และก้น
การมีก้น และสะโพกที่ใหญ่ ย้อยจนเกินไปทำให้มีรูปร่างที่ไม่สวยงาม การดูดไขมันสะโพกและก้นเป็นการขจัดไขมันส่วนเกินออก เพื่อให้มีรูปร่างที่สมส่วนสวยงาม มีก้นและสะโพกที่กลมเด้งกระชับ ทำให้เกิดความมั่นใจในการใส่เสื้อผ้ามากขึ้น
ผู้ที่เหมาะกับการดูดไขมันเฉพาะส่วน ต้นแขน ต้นขา และหน้าท้อง
สำหรับผู้ที่เหมาะกับการดูดไขมันเฉพาะส่วน ต้องมีร่างกายที่เหมาะสมดังนี้
- ผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ ควบคุมเรื่องการรับประทานอาหาร แต่ไม่สามารถขจัดไขมันในบางบริเวณออกไปได้ ถึงแม้จะพยายามแล้ว
- ผู้ที่ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำแต่มีไขมันไม่มากนัก สุขภาพแข็งแรง โดยทั้งสองกลุ่มควรมีดรรชนีมวลกาย ไม่เกิน 30 (BMI < 30) ถ้าดรรชนีมวลกายเกิน 30 อาจจะต้องพิจารณาเป็นราย ๆ ไป ว่าสามารถทำได้แค่ไหน
- มีผิวหนังที่ค่อนข้างตึง ไม่เหี่ยวย่น
- ไม่ควรมีโรคประจำตัวที่เป็นอันตรายต่อการผ่าตัด
- ไม่สูบบุหรี่
- ในผู้ที่เคยได้รับการดูดไขมันมาก่อน แล้วต้องการเพิ่มความชัดเจนสามารถทำได้ แต่ผลของการผ่าตัด อาจจะไม่ดีเท่าในรายที่ไม่เคยทำมาก่อน
ทำไมสะโพก ต้นแขน ต้นขา และหน้าท้อง จึงมีไขมันสะสมมาก?
ไขมันในร่างกายเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ เนื่องจากเป็นแหล่งสะสมของพลังงาน วิตามินที่ละลายได้ในไขมัน เป็นองค์ประกอบสำคัญของเซลล์สมองและโครงสร้างเซลล์ อีกทั้งไขมันใต้ผิวหนังจะช่วยปกป้องความหนาวเย็น แต่เมื่ออายุมากขึ้น อัตราการเผาผลาญไขมันจะลดน้อยลง ทำให้เกิดการสะสมของไขมันและน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ในเพศหญิงการสะสมไขมันจะอยู่ที่บริเวณสะโพก ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง ส่วนเพศชายจะสะสมที่บริเวณหน้าท้องเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการสะสมไขมันจะขึ้นอยู่กับ
- กรรมพันธุ์ที่มาจากยีนส์ของแต่ละคน
- พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน นั่งทำงานตลอดเวลา มีการเคลื่อนไหวน้อย อาจเกิดการสะสมไขมันได้
- การหมดประจำเดือน ทำให้ปริมาณของเอสโตรเจนฮอร์โมนลดลง ทำให้เกิดการสร้างและสะสมไขมัน บริเวณหน้าท้อง ก้น และต้นขา
- ความเครียดเรื้อรัง ทำให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติโซลในกระแสเลือด ทำให้เกิดการสร้างไขมันไปสะสมที่หน้าท้อง
เทคนิคการดูดไขมันด้วย Hi -def ที่โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมล
การดูดไขมันแบบทั่ว ๆ ไป หรือ Conventional Liposuction คือ การดูดใต้ผิวหนังจากหลาย ๆ บริเวณ เช่น ต้นขา ท้อง หลัง แขน รักแร้ บั้นท้าย หรือบริเวณไหนก็ตามที่มีไขมันมากพอที่จะดูดออก เพื่อให้ได้รูปร่างที่ดีขึ้นอย่างที่ต้องการ
การดูดไขมันแบบ Hi-def จะดูดตามแนวของกล้ามเนื้อ โดยหลังจากการทำจะเห็นแนวกล้ามเนื้อชัดเจนขึ้นเหมือนกับการออกกำลังกาย ในผู้ชายสามารถทำให้เห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องหรือ Six Pack ได้ ส่วนในผู้หญิงสามารถสร้าง Sexy Line ให้เด่นชัดได้
ผู้ที่เหมาะกับการดูดไขมันด้วยเทคนิค Hi-def
- ต้องผ่านการควบคุมอาหารและออกกำลังกายมาบ้าง
- ร่างกายมีไขมันในปริมาณที่ไม่มากนัก
- ต้องมีผิวที่ไม่หย่อนคล้อยจนเกินไปถึงจะได้รับผลการผ่าตัดที่ดี
- หลังผ่าตัดต้องออกกำลังกาย และควบคุมอาหารอยู่เช่นเดิม
เทคนิคนี้จะต้องใช้ศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญ รวมถึงเข้าใจกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ตามร่างกาย ดังนั้น ควรหาข้อมูลของศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์ในด้านนี้โดยตรง ปรึกษาเรื่องความต้องการ และความคาดหวังกับแพทย์ ถ้าแพทย์ที่มีประสบการณ์ ก็จะสามารถบอกได้ว่าสิ่งที่เราต้องการมีความเป็นไปได้แค่ไหน แต่เมื่อไหร่ที่เกิดความสงสัยไม่แน่ใจในคำตอบ ก็อาจจะลองปรึกษากับแพทย์ท่านอื่น ๆ เพิ่มเติม ก่อนตัดสินใจ เพื่อจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับตัวเราที่สุด
การดูดไขมันด้วย VASER- Assisted High-Definition Lipo-sculpture (VAHDL)
เป็นการผ่าตัดที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ โดยเทคโนโลยีของการดูดไขมันได้มีการเปลี่ยนแปลงไปในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ในปี ค.ศ.1985 ได้มีการริเริ่มนำคลื่นอัลตราซาวน์มาช่วยในกระบวนการดูด (Ultrasound assisted lipoplasty or UAL) หลักการของการใช้คลื่นอัลตราซาวน์คือ การสลายไขมันด้วยคลื่นความถี่ที่เฉพาะเจาะจงกับไขมัน โดยที่จะมีความเสียหายต่อเส้นเลือดและเส้นประสาทน้อยกว่าวิธีการดั้งเดิม เมื่อไขมันโดนคลื่นจะเกิดการสั่นและแตกของเซลล์ ไขมันกลายเป็นของเหลวแล้วจึงค่อยดูดไขมันออกมา
VASER- Assisted High-Definition Liposculpture (VAHDL) คือ การนำเครื่อง VASER มาช่วยในการทำ High Definition Liposculpture ซึ่งสามารถออกแบบกล้ามเนื้อได้ชัดเจนขึ้น มีการทำลายเนื้อเยื่อน้อยกว่า และสามารถดูดไขมันออกได้นิ่มนวลกว่า การจะทำ VAHDL ให้ได้ผลดีนั้น ศัลยแพทย์ต้องมีความเข้าใจลักษณะกายวิภาคของกล้ามเนื้อภายในแต่ละมัด และรูปร่างของกล้ามเนื้อที่มองเห็นภายนอก เพื่อที่จะปรับแต่งและสร้างรูปลักษณ์ที่สวยงามได้อย่างที่ต้องการ
ข้อดีของการดูดไขมันด้วย VASER- Assisted High-Definition Liposculpture (VAHDL)
- สามารถทำ High Definition Liposculpture ซึ่งสามารถออกแบบกล้ามเนื้อได้ชัดเจน
- มีการทำลายเนื้อเยื่อน้อยกว่า
- สามารถดูดไขมันออกได้นิ่มนวลกว่า เรียบเนียนกว่า
รีวิวการดูดไขมันปรับรูปร่าง ที่โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมล
รีวิวการปรับรูปร่าง ของคุณเจนนี่ ปิณฑิรา
ดูดไขมันต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง และปั้นเอว สร้างความโค้งเว้าของรูปร่างให้ดูสวย กระชับได้สัดส่วน 1 เดือนหลังผ่าตัด
คุณเจนนี่ ปิณฑิรา แต่เดิมมีรูปร่างค่อนข้างอวบ มีต้นแขนต้นขา เอวตรง อยากมีรูปร่างเล็ก แขน ขาเล็ก เอวเล็ก เห็นส่วนโค้งส่วนเว้าของอกและสะโพกอย่างชัดเจน และมีแนว Sexy line ด้วย หลังผ่าตัดได้รูปร่างดั่งที่ต้องการ...ชอบมาก พร้อมที่จะอวดรูปร่างใหม่อย่างมั่นใจ
รีวิวการปรับรูปร่าง ของคุณเจนนี่ นฤมล
ดูดไขมันต้นขา หน้าท้อง ปั้นเอว และสร้างความโค้งเว้าของรูปร่างให้ดูสวย กระชับ ดูสปอร์ต หลังผ่าตัด 1 เดือน
คุณเจนนี่ นฤมล ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าการทำศัลยกรรมจะสามารถปรับสร้างรูปร่างได้สวยงามขนาดนี้ ในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งเอวที่กระชับเล็กลง เห็นแนวกล้ามเนื้อหน้าท้องชัดเจน ดูแล้วฟิตแอนเฟิร์มจริงๆ การออกกำลังกายต้องใช้เวลานานเป็นปีๆ ถึงจะเป็นแบบนี้หรืออาจจะไม่เป็นก็ได้ ศัลยกรรมปรับรูปร่างเกิดได้จริงๆค่ะ เจนนี่คอนเฟิร์ม
รีวิวการปรับรูปร่าง ของคุณส้มโอ ชมพูนุช
ดูดไขมันต้นขา หน้าท้อง เห็นแนวกล้ามเนื้อหน้าท้อง และสร้างความโค้งเว้าของรูปร่างให้ดูสวย สปอร์ต หลังผ่าตัดครบ 1 เดือน
คุณส้มโอ ชมพูนุช ว้าวว..จริงๆค่ะ!!! เอวอวบ ๆ ต้นขาใหญ่ ๆ เสกให้หายไปได้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเอวที่อวบ ๆ พยายามออกกำลังกายอย่างหนักมานาน พยายามลดหน้าท้อง ต้นขา และสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้องให้ดูเฟิร์มกระชับมานาน แต่ทำไม่ได้เลย ลองแล้วค่ะ ตัดสินใจทำศัลยกรรมปรับรูปร่างให้สวยรับส่วนโค้งส่วนเว้าของอก สะโพก แถมมีแนวกล้ามเนื้อหน้าท้อง ดูแล้วเซ็กซี่ ทำได้จริง ๆ ค่ะ รูปที่เห็นเพียง 2 เดือนหลังผ่าตัดเท่านั้นค่ะ
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดดูดไขมันต้นแขน ต้นขา และหน้าท้อง
- ปรึกษาศัลยแพทย์ และ วิสัญญีแพทย์
- ตรวจเลือดและตรวจร่างกาย
- ทานยาหรือปรับยาตามแพทย์แนะนำเพื่อเตรียมตัวผ่าตัด
- หยุดยาจำพวกแอสไพริน ยาลดอาการอักเสบ หรือสมุนไพร เพราะอาจจะทำให้เลือดออกมากขึ้นได้
- หลังผ่าตัดต้องนอนโรงพยาบาลอย่างน้อย 1-2 วัน
ขั้นตอนการผ่าตัดดูดไขมันต้นแขน ต้นขา และหน้าท้อง
- กำหนดตำแหน่งที่ต้องการดูดไขมันออก ในกรณีที่จะดูดไขมันออกเพียงจุดเดียว
2. การให้ยาระงับความรู้สึก กรณีมีไขมันปริมาณไม่มากอาจใช้ยาชา แต่ถ้าดูดไขมันหลายจุดและปริมาณมากจะต้องทำภายใต้การดมยาสลบ
3. เจาะผิวหนังขนาด 0.5 มิลลิเมตร เพื่อใส่เข็มดูดไขมัน และทำการดูดด้วยเครื่องดูดไขมัน เมื่อเสร็จสิ้นการดูด ไขมัน แพทย์จะเย็บปิดแผลซึ่งมีขนาดเล็กประมาณ 1-2 เข็มเท่านั้น ระยะเวลาของการดูดไขมันจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งและปริมาณของไขมัน
4. ใช้ผ้ายืดพันรอบบริเวณที่ดูดไขมัน
การดูแลหลังผ่าตัดดูดไขมันต้นแขน ต้นขา และหน้าท้อง
- หลังการผ่าตัดจะมีน้ำเหลืองไหลซึมออกมาจากตำแหน่งแผลที่ดูด ซึ่งจะซึมออกมาเรื่อย ๆ ประมาณ 4-5 วัน ก็จะหยุดไหลไปเอง ให้ทำแผลบริเวณที่ดูดทุกวันจนกว่าแผลจะแห้งและไม่มีน้ำเหลืองซึมออกมา ถ้าน้ำเหลืองที่ซึมออกมาไม่หายไปใน 4-5 วัน และมีอาการเจ็บปวด บวมแดง เพิ่มขึ้น ควรมาพบศัลยแพทย์ทันที
- ให้ใส่ผ้ายืด (Elastic Bandage) หรือชุดรัดกล้ามเนื้อ (Compression Garment) สำหรับรัดตรงบริเวณที่ทำการดูดเป็นเวลาอย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังการผ่าตัดใหม่ เพื่อลดอาการบวม และเป็นการกดให้โพรงที่เกิดจากการดูดไขมันออกยุบติดกัน และไม่ให้เกิดการคั่งของน้ำเหลือง จากนั้นคนไข้ยังสามารถใส่ผ้ายืดหรือใส่ชุดรัดกล้ามเนื้อต่อได้อีก 15-30 วัน เพื่อเป็นการช่วยให้หายเร็ว และได้ผลดีขึ้น คนไข้สามารถทำงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ เพียงแต่ไม่ควรทำสิ่งที่รุนแรง และไม่ควรเคลื่อนไหวในบริเวณที่ทำการดูด
- หลังทำการดูดไขมัน คนไข้จะมีอาการบวมขึ้นตรงบริเวณที่ดูด โดยอาการบวมจะเกิดขึ้นประมาณ 3-4 อาทิตย์หลังผ่าตัด หลังจากนั้นจะยุบบวมและหายสนิทดีในระยะ 3-4 เดือนหลังผ่าตัด
- นวดไล่น้ำเหลืองเบา ๆ หลังผ่าตัด 3 วัน และวันเว้นวัน อีก 3-4 ครั้ง เพื่อช่วยในการยุบบวม และลดความอึดอัด
- ชุดรัดกล้ามเนื้อ (Compression Garment) ต้องใส่ตลอดเวลา ยกเว้นตอนอาบน้ำเท่านั้น
- เคลื่อนไหวทุก ๆ 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือด (Blood Clot)
- อาบน้ำได้หลังผ่าตัด 2-3 วัน แต่ต้องทำแผลให้แห้งและสะอาด
- สามารถออกกำลังกาย วิ่ง ว่ายน้ำ แช่น้ำได้ หลังผ่าตัด 2 สัปดาห์
- ตัดไหม หลังผ่าตัดครบ 7 วัน
- พบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดดูดไขมันต้นแขน ต้นขา และหน้าท้อง
ปัญหาระยะสั้นที่อาจพบหลังผ่าตัด
- น้ำเหลือง (Seroma) อาจจะมีอาการบวมเป็นหย่อม ๆ ซึ่งมีน้ำเหลืองขังอยู่ใต้ผิวหนัง ศัลยแพทย์จะทำการเจาะออก หรือใส่สายระบายเอาน้ำเหลืองออก
- ไขมันอุดตันที่ปอด (Pulmonary Thromboembolism)
- ปวด (Pain)
- อาการชา (Numbness) อาจจะเกิดได้ แต่จะหายไปหลังผ่าตัด 3-6 เดือน
- แผลติดเชื้อ (Infection)
- เลือดจาง (Anemia)
- เลือดคั่ง (Hematoma)
- ไขมันอุดตันเส้นเลือด (Fat Embolism)
- อาจจะมีผิวหนังไหม้เป็นหย่อม ๆ จากเลเซอร์ได้
ปัญหาระยะยาวที่อาจพบหลังผ่าตัด
- เป็นก้อนไขมัน (Fibrosis) แก้ไขโดยนวด, หรือใช้อัลตร้าซาวด์
- ผิวหนังไม่เรียบเป็นคลื่น
- รูปร่างอาจจะไม่เท่ากัน (Asymmetries) ทั้งสองด้าน
- แผลสมานไม่ดี (Poor healing)
รูปก่อนและหลังผ่าตัดดูดไขมัน ที่โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมล
ดูรูปก่อนและหลังผ่าตัดดูดไขมันเพิ่มเติม
สาระน่ารู้ การดูดไขมัน
การผ่าตัด "ดูดไขมัน 360 องศา " เป็นอย่างไร ?
การดูดไขมัน 360 องศา หมายถึง การผ่าตัดดูดไขมันของทุกๆส่วน ของร่างกาย ในคร้ังเดียวกันเพื่อปรับรูปร่าง ให้มีส่วนโค้ง เว้า ของหน้าอก เอว สะโพก
จะเลือก "ดูดไขมัน " หรือ " ตัดไขมัน " พิจารณาจากอะไร ?
การดูดไขมันและการตัดไขมันเป็นการศัลยกรรมที่ได้รับความนิยม แต่ในคนไข้แต่ละคนมีปริมาณไขมันที่สะสม และมึความหย่อนคล้อยของผิวหนังที่แตกต่างกันไป
การดูดไขมันคืออะไร
หลายคนสนใจทรวดทรงองเอวของตัวเอง โดยคนส่วนใหญ่อยากให้ร่างกายเราฟิตแอนด์เฟิร์ม หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่อยากจะดูอ้วนในสายตาคนอื่น
ปรับรูปร่างและเพิ่มความมั่นใจด้วยการดูดไขมัน
การดูดไขมัน เป็นการศัลยกรรมเสริมความงามเพื่อกำจัดไขมันส่วนเกินออกจากส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ได้รับความนิยมในผู้คนที่ต้องการมีรูปร่างที่ดีขึ้น และต้องการเพิ่มความมั่นใจในรูปร่างของตนเองให้มากขึ้น
เป็นการศัลยกรรมที่ต้องใช้การดมยาสลบ ศัลยแพทย์จะกรีดเปิดแผลขนาดเล็กในบริเวณที่จะดูดไขมัน แล้วจึงสอดท่อ (Cannula) เข้าไปในแผล และดูดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกาย สามารถทำได้กับส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น หน้าท้อง สะโพก ต้นขา บั้นท้าย (ก้น) แขน และลำคอ
ประโยชน์ของการดูดไขมัน คือ ช่วยแก้ไขปรับรูปร่าง ทำให้รูปร่างดูดีขึ้น เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับบุคคลที่มีไขมันส่วนเกินบริเวณส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ช่วยเพิ่มความมั่นใจ ทำให้รู้สึกสบายใจ และมั่นใจในรูปร่างของตนเองมากขึ้น การดูดไขมันสามารถทำร่วมกับหัตถการเสริมความงามอื่น ๆ เช่น การยกกระชับหน้าท้อง หรือการลดขนาดหน้าอก
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการดูดไขมัน
- รอยช้ำและอาการบวม : รอยช้ำและอาการบวมเป็นเรื่องปกติหลังจากการดูดไขมัน แผลจะสมานตัวจากการดูด ผลข้างเคียงนี้จะบรรเทาลงภายในไม่กี่สัปดาห์
- ความเจ็บปวดและไม่สบายตัว : บางคนอาจรู้สึกเจ็บปวดและไม่สบายบริเวณที่ดูด ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวด
- อาการชาและรู้สึกเจ็บแปลบ : อาการชาและรู้สึกเจ็บแปลบเป็นเรื่องปกติหลังการดูดไขมัน เนื่องจากเส้นประสาทในบริเวณที่ดูดอาจได้รับความเสียหายชั่วคราว ผลข้างเคียงนี้จะหายไปเองภายในไม่กี่สัปดาห์
- การติดเชื้อ : มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ความเสี่ยงนี้สามารถลดลงได้ด้วยการปฏิบัติตามคำแนะนำของศัลยแพทย์ในการดูแลหลังการผ่าตัดและรักษาความสะอาดบริเวณที่มีแผล
- ความไม่สมมาตร : ผลของการดูดไขมันอาจไม่สมมาตรและไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
- ความเปลี่ยนแปลงของผิวหนังที่ : บางคนอาจรู้สึกคันหรือแสบร้อนบริเวณที่ดูดได้ ผลข้างเคียงนี้มักเกิดขึ้นชั่วคราวและจะหายไปเอง
- การสะสมไขมันซ้ำบริเวณเดิม : การดูดไขมันไม่ใช่การลดน้ำหนัก หากคนไข้ไม่รักษาสุขภาพ ไขมันก็สามารถสะสมใหม่ได้อีกในบริเวณที่เคยดูดไปแล้ว
ผลข้างเคียงเหล่านี้มักเกิดขึ้นชั่วคราวและจะหายได้เองเมื่อเวลาผ่านไป คนไข้ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของศัลยแพทย์ในการดูแลหลังการผ่าตัด เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อน และมั่นใจว่าจะได้ผลลัพธ์อย่างที่คาดหวังมากที่สุด
การดูดไขมันช่วยลดน้ำหนักได้จริงไหม กี่วันเห็นผล
การดูดไขมันเป็นวิธีที่มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นวิธีการลดน้ำหนัก แต่แท้จริงแล้ว เป็นเพียงวิธีกำจัดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดเท่านั้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมบางจุดที่ต้องการกำจัด ผลลัพธ์ที่เห็นชัดจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของรูปร่างมากกว่า แต่อาจช่วยลดน้ำหนักได้เพียงเล็กน้อยประมาณ 2-5 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันที่ดูดออกไป ผลลัพธ์จะเห็นได้ทันทีหลังการผ่าตัด แม้จะมีอาการบวมในช่วงแรก แต่ผลลัพธ์จะเห็นชัดเจนขึ้นหลังจาก 3-6 เดือน เมื่ออาการบวมลดลงแล้ว
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ จำเป็นต้องดูแลตัวเองควบคู่กันไปด้วย มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มีรูปร่างกระชับ ผิวดูมีสุขภาพดีไม่เหี่ยวย่น เมื่อเข้ารับการผ่าตัดเพื่อดูดไขมันส่วนเกินออก ผิวของคุณก็จะยังคงดูกระชับ ไม่เหี่ยวย่น และได้รูปร่างสมส่วน สวยงามอย่างที่ต้องการ
ข้อแนะนำ การดูดไขมันให้มีความปลอดภัย
เพื่อความปลอดภัย จะต้องดำเนินการโดยศัลยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ดังนี้
- การผ่าตัดด้วยศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และทำการผ่าตัดภายใต้การดมยาสลบ ด้วยวิสัญญีแพทย์ ความเสี่ยงจากการเกิดเลือดออกมาก การสูญเสียเลือด ทำให้เกิดปริมาณเลือดในร่างกายต่ำเกินไป เวียนศีรษะ หลังการผ่าตัด 1-2 วัน ต้องมีการตรวจเช็กความเข้มข้นของเลือด Hematocrit ไม่ให้ต่ำจนเกินไป ที่จะเป็นอันตรายได้ ดังนั้น หลังการดูดไขมันต้องนอนโรงพยาบาล อย่างน้อย 2-3 คืน เพื่อดูผลข้างเคียง
- มีการตรวจสุขภาพร่างกาย แข็งแรง ไม่เป็นโรคความดัน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจ
- การดำเนินการภายใต้การดมยาสลบด้วยวิสัญญีแพทย์ จะดูดได้เรียบเนียนกว่า ไม่เป็นคลื่น และปริมาณมากกว่าอย่างปลอดภัย
- การดูดไขมันต้องดูลักษณะความยืดหยุ่นของผิวหนัง ต้องมีความยืดหยุ่นดีจึงจะได้ผลดี ผิวหนังกระชับ
ดูดไขมันแล้วไม่เห็นผล เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง?
ไขมันที่ถูกดูดออกไป จะเป็นไขมันที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังเท่านั้น เมื่อเราไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอาจมีสาเหตุมาจากสิ่งต่อไปนี้
1. อาการบวมหลังจากดูดไขมัน
หลังจากการทำ ร่างกายจะมีปฏิกิริยาตอบสนองด้วยการส่งเลือดและน้ำเหลืองไปยังบริเวณที่ดูดไขมันมากกว่าปกติ เพื่อซ่อมแซมเซลล์และเนื้อเยื่อส่วนที่เสียหาย หลังการดูดจึงมีการบวมขึ้นมาได้ การบวมเกิดมากสุดช่วงประมาณ 1 เดือนหลังการทำ แล้วจะค่อย ๆ ยุบลง
วิธีสังเกตอาการบวม คือ บริเวณที่ดูดยังมีผิวเรียบตึงกว่าบริเวณที่ไม่ได้ดูด ลองคลำ หรือจับเนื้อดึงขึ้นมาจะรู้สึกว่าตึงแข็งอยู่ อาจจะต้องรอดูไปก่อน การนวดเพื่อไล่น้ำเหลืองหลังผ่าตัดก็มีผลทำให้การบวมยุบเร็วขึ้นได้
2. ไขมันในช่องท้อง
ท้องที่ยื่นดันออกมาเป็นไขมันในช่องท้องซึ่งอยู่ใต้กล้ามเนื้อหน้าท้อง ไม่ใช่เพราะมีไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังหน้าท้อง ตามรูปที่ 1 ศัลยแพทย์ไม่สามารถดูดไขมันในช่องท้องได้ เพราะจะเป็นอันตรายต่อตับ ไต ไส้พุงที่อยู่ในช่องท้องใต้กล้ามเนื้อหน้าท้อง
รูปที่ 1: ไขมันที่อยู่ในช่องท้อง (ใต้กล้ามเนื้อหน้าท้อง)
เปรียบเทียบคนที่มีไขมันในช่องท้องมาก กับคนที่มีไขมันในช่องท้องน้อย ตามรูปที่ 2 และรูปที่ 3 จะเห็นได้ว่า หากเรามีไขมันในช่องท้องมาก หลังดูดท้องก็จะลดขนาดได้น้อยกว่า คนที่มีไขมันในช่องท้องน้อยกว่า
รูปที่ 2: ก่อนและหลังการดูดไขมัน สำหรับผู้ที่มีไขมันในช่องท้อง
รูปที่ 3: ก่อนและหลังการดูดไขมัน สำหรับผู้ที่มีไม่มีไขมันในช่องท้อง
3. ปัญหากล้ามเนื้อหน้าท้องหย่อน
ดูดไขมันแล้วไม่เห็นผล อาจเกิดจากปัญหากล้ามเนื้อหน้าท้องหย่อน ส่วนมากเจอในกลุ่มผู้หญิงหลังคลอดที่กล้ามเนื้อหน้าท้องเกิดการขยายออกหลังตั้งครรภ์ ทำให้หนังหน้าท้องหย่อน และกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เคยชิดกันเกิดการแยกออก ทำให้ท้องยื่นออกมามากขึ้น กรณีนี้ไม่สามารถจะรักษาด้วยการดูดไขมันเพียงอย่างเดียว อาจจะต้องมีการเย็บกล้ามเนื้อหน้าท้องให้กระชับและตัดหนังหน้าท้องส่วนเกินออกด้วย
รูปที่ 4: กล้ามเนื้อหน้าท้องที่แยกออกหลังตั้งครรภ์ ซึ่งจะแยกออกมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแต่ละคน
โดยสาเหตุที่ 2 และ 3 แพทย์ที่มีประสบการณ์การดูดไขมันมามาก จะสามารถมองออก และแจ้งให้คนไข้ทราบได้ก่อนผ่าตัด เพื่อจะได้ทราบ และตัดสินใจวางแผนการผ่าตัดร่วมกัน
4. ดูดไขมันออกไม่หมด
ส่วนมากเกิดจากประสบการณ์ (Experience) ความชำนาญ (Skills) ของแพทย์ ยังไม่มาก ทำให้แพทย์ไม่ทราบว่าดูดไขมันออกไม่หมด หรือ แพทย์บางท่านอาจจะให้เพียงแค่ยาชา เพื่อระงับความรู้สึกเจ็บของคนไข้เท่านั้น แต่ไม่ได้ดมยาสลบ ถึงแม้ว่าคนไข้จะไม่รู้สึกตัวก็ตาม แต่ร่างกายก็ยังดิ้นทุรนทุรายและร้องด้วยความเจ็บปวด ทำให้แพทย์ไม่สามารถดำเนินการต่อได้อย่างที่ตั้งใจไว้ ทำให้ไขมันเหลือและผิวไม่เรียบ
ดังนั้น ก่อนดูดไขมัน ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด ทั้งเรื่องสิ่งที่กังวลและผลลัพธ์ที่คาดหวัง วิธีการผ่าตัด วิธีการดูแลหลังผ่าตัด วิธีการให้ยาระงับความเจ็บปวด เป็นการฉีดยาชาหรือดมยาสลบ ควรสอบถามด้วยว่า คุณหมอท่านใดเป็นศัลยแพทย์ และคุณหมอท่านใดเป็นวิสัญญีแพทย์ มีประสบการณ์และความชำนาญเพียงใด แนะนำว่าอาจจะต้องปรึกษาหลาย ๆ ที่เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่าง และเลือกโรงพยาบาลที่เรามั่นใจว่าจะทำให้ผลการผ่าตัดเป็นไปด้วยดีและมีความปลอดภัย
ทำไมต้องผ่าตัดดูดไขมัน ที่โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมล
- ศัลยแพทย์ตกแต่งที่เชี่ยวชาญด้านการดูดไขมันโดยเฉพาะ ผ่านการเรียนกับผู้เชี่ยวชาญระดับโลก Dr. Alfredo Hoyos
- ดูดไขมันได้เรียบเนียน ไม่เป็นคลื่น
- มีการปรับแต่งรูปร่างให้สวยงามได้สัดส่วน มีส่วนโค้งส่วนเว้า
- ดูดไขมันได้ปริมาณมาก ประมาณ 5-10 ลิตรต่อครั้ง
- มีการดูแลการให้สารน้ำระหว่างการผ่าตัดด้วยวิสัญญีแพทย์
- ไม่บอบช้ำมากหลังผ่าตัด
- มีการนวดไล่น้ำเหลืองหลังผ่าตัด (Lymphatic drainage) เพื่อช่วยลดการบวมและทำให้รูปทรงเข้าที่เร็วขึ้น
- ดำเนินการภายใต้การดมยาสลบด้วยวิสัญญีแพทย์ ทำให้ให้ดูดไขมันได้อย่างเต็มที่ไม่เจ็บ
- ห้องผ่าตัดได้มาตรฐาน ปลอดเชื้อ ด้วยมาตรฐานระดับโลก
- เครื่องมือทันสมัย ปลอดเชื้อด้วยมาตรฐาน JCI
- หลังผ่าตัดอยู่ห้องพักฟื้น และพักที่โรงพยาบาลอย่างน้อย 2-3 วัน เพื่อช่วยดูแลแผลหลังผ่าตัดและไล่น้ำเหลือง
- ให้ชุดซัพพอร์ตใส่กระชับหลังผ่าตัด เพื่อช่วยลดบวม และกระชับรูปร่างเร็วขึ้น