หนังตาตก เกิดขึ้นเมื่อกล้ามตาเนื้ออ่อนแรง เป็นที่รู้จักในชื่อว่า "ptosis" ส่วนใหญ่เกิดจากสาเหตุของกล้ามเนื้อหรือเนื้อเยื่อรอบดวงตาสูญเสียความสามารถในการควบคุมกล้ามเนื้อ และอาจมีสาเหตุจากพันธุกรรม อุบัติเหตุ หรือโรคร้ายแรง และอื่น ๆ ซึ่งปัญหาของหนังตาตก เกิดขึ้นได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย เมื่อมีอายุมากขึ้น ทั้งนี้ก็อาจเจอปัญหาหนังตาตกร่วมกับปัญหาความหย่อนคล้อยของเปลือกตาได้
ปัญหานี้มีวิธีแก้ไขที่แตกต่างกันออกไป ทั้งการผ่าตัดศัลยกรรมและไม่ผ่าตัด ซึ่งแนวทางการแก้ไขก็จะขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล โดยต้องให้แพทย์เป็นผู้ประเมินการรักษา เพื่อการแก้ไขได้อย่างตรงจุดและตรงกับความต้องการของคนไข้มากที่สุด แต่ก่อนอื่นเลยมาดูกันดีกว่าว่า ภาวะหนังตาตกนี่คืออะไรกันแน่? ถ้าไม่แก้ไขจะส่งผลเสียอย่างไร? และควรต้องแก้ไขปัญหานี้ด้วยวิธีใดดี ติดตามกันเลย
หนังตาตกคืออะไร
หนังตาตก คือ ลักษณะเปลือกตาที่หย่อนคล้อย จะทำให้ดูมีอายุมากขึ้น ใบหน้าดูไม่สดใส ดูเศร้าหมอง ซึ่งบางรายก็อาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็น โดยอาจเกิดขึ้นได้ที่ดวงตาข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้างเลยก็ได้ ลักษณะตาที่ตกสามารถ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทดังนี้
- หนังตาตก เปลือกตาหย่อน หางตาตก (Dermatochalasis) จะมีลักษณะขอบเปลือกตาอยู่ในตำแหน่งที่ตกลงมาต่ำกว่าปกติ ทำให้ชั้นตาสองข้างไม่เท่ากัน และบดบังการมองเห็นของตาของดวงตาดำ ซึ่ง เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตประจำวันได้
- กล้ามเนื้อเปลือกตาตก (Ptosis) เป็นอาการที่กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง หรือทำงานผิดปกติ ซึ่งอาจมีอาการนี้ตั้งแต่แรกเกิด หรือเกิดขึ้นภายหลังก็ได้ จะมีลักษณะอาการ คือ บริเวณขอบเปลือกด้านบนตกลง เหมือนลืมตาไม่สุด และหางตามีความหย่อนคล้อย ทำให้ดูเหมือนคนง่วงนอนตลอดเวลา และอาจบดบังการมองเห็นได้เช่นกัน
หนังตาตกเกิดจากอะไร
หนังตาตก เกิดได้จากสาเหตุหลายอย่าง โดยส่วนมากมักจะพบว่า เกิดจากกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง หรือมีปัญหาเกี่ยวกับเส้นประสาทตาที่ควบคุมกล้ามเนื้อตา นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากโรคทางพันธุกรรม อุบัติเหตุ และจากการบาดเจ็บที่ส่งผลกระทบไปยังโครงสร้างของตาได้ หรือทั้งนี้ก็อาจเกิดจากความหย่อนคล้อยของหนังตาเมื่ออายุมากขึ้นได้เช่นกัน ฉะนั้นต้องรับการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง และแนวทางการรักษาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละเคสจะดีที่สุด
หนังตาตกส่งผลเสียอย่างไรบ้าง
ภาวะหนังตาตก จะส่งผลต่อทั้งด้านบุคลิกภาพและสุขภาพได้ ดังนี้
ผลเสียต่อบุคลิกภาพ
- ใบหน้าดูไม่สมมาตร: หนังตาตกข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง ทำให้ใบหน้าดูไม่สมมาตร ก่อให้เกิดปัญหาทางจิตใจ ทำให้รู้สึกขาดความมั่นใจ และไม่อยากออกไปเข้าสังคมได้
- ดูไม่สดใส: หนังตาตกทำให้ดวงตาดูเล็ก ดูเหมือนง่วงนอน อ่อนเพลีย และขาดพลัง
ผลเสียต่อสุขภาพ
- การมองเห็น: หนังตาตกที่รุนแรงอาจบดบังการมองเห็น โดยเฉพาะการมองเห็นส่วนบนทำให้ต้องแหงนหน้าหรือเบ่งตาเพื่อมอง ซึ่งจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และยังนำมาสู่ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้าที่เพิ่มมากขึ้น
- กล้ามเนื้อตาอ่อนล้า: การต้องเบ่งตาเพื่อมองเป็นเวลานาน อาจทำให้กล้ามเนื้อตาอ่อนล้า และปวดเมื่อยล้าตาเพิ่มขึ้น
- โรคตาขี้เกียจ: หนังตาตกในเด็ก อาจส่งผลต่อการพัฒนาการมองเห็น ทำให้เกิดโรคตาขี้เกียจได้
หนังตาตกหายเองได้ไหม
อาการหนังตาตก ไม่สามารถหายได้เอง เพราะสาเหตุของการเกิดภาวะหนังตาตก จะเกิดจาก 3 สาเหตุหลัก ๆ ดังนี้
- โครงสร้างผิวหนังที่หย่อนคล้อย: ผิวหนังบริเวณเปลือกตาเสื่อมสภาพตามกาลเวลา ส่งผลให้หนังตาตก
- ไขมันสะสม: ไขมันสะสมบริเวณเปลือกตาหนาขึ้น ทำให้เปลือกตาหนัก ส่งผลให้หนังตาตก
- กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง: กล้ามเนื้อตาอ่อนแรงจากโรคต่าง ๆ เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงแบบ Myasthenia Gravis (MG) หรือโรคหลอดเลือดสมอง ส่งผลต่อการควบคุมการเปิดปิดเปลือกตา
ดังนั้น การรักษาหนังตาตกจึงต้องใช้วิธีการ
- การผ่าตัด: เป็นวิธีการรักษาหลัก ซึ่งแพทย์จะทำการยกกระชับเปลือกตา โดยเอาหนังตาส่วนเกินออก กำจัดไขมัน และอาจใช้การปรับกล้ามเนื้อตาร่วมด้วย
- การรักษาด้วยยา: ในกรณีที่หนังตาตกเกิดจากโรค MG จำเป็นต้องทานยาช่วยบรรเทาอาการร่วมด้วย
อย่างไรก็ตามก็มีวิธีช่วยบรรเทาอาการหนังตาตกได้บ้าง แต่อาจไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดมากนัก เช่น
- การใช้เทปยกเปลือกตา: เป็นวิธีชั่วคราว เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการหนังตาตกไม่มาก
- การฉีดโบท็อก: ช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อ แต่ผลลัพธ์อยู่ได้แค่ช่วง 4-6 เดือน และต้องทำการฉีดซ้ำใหม่อีกครั้ง
หนังตาตกแค่ไหน ควรรีบพบแพทย์
หนังตาตกแค่ไหนควรไปพบแพทย์นั้น สามารถสังเกตได้ที่ลักษณะอาการ โดยทั่วไปแล้วจะควรไปพบแพทย์เมื่อมีอาการดังต่อไปนี้ ได้ดังนี้
- มีอาการรุนแรงจนไม่สามารถเปิดตาได้เลย
- มองเห็นภาพซ้อนกัน เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุขณะขับรถได้
- หนังตาตก ส่งผลต่อการมองเห็น ทำให้ต้องแหงนหน้าหรือเบ่งตาเพื่อมอง
- หนังตาตก ที่มีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดตา ตาแดง ตาพร่ามัว เปลือกตาบวม กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงร่วมด้วย
ทั้งนี้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้พิจารณาว่า หนังตาตกนั้นมีระดับความรุนแรง และกระทบคุณภาพชีวิตของคนไข้มากแค่ไหน เพื่อช่วยวางแผนแนวทางการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
ศัลยกรรมตา แก้ไขปัญหาหนังตาตก
การศัลยกรรมตา เป็นวิธีการรักษาหนังตาตก ที่นิยมมากที่สุด เพราะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้คนไข้ได้จริง ซึ่งวิธีการผ่าตัดแก้หนังตาตก ก็สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุ ความรุนแรง และความต้องการของคนไข้ โดยทั่วไปแพทย์จะทำการปรับปรุงลักษณะดวงตา ด้วย 3 ศัลยกรรมนี้
- ผ่าตัดยกกระชับเปลือกตา: แพทย์จะเอาหนังตาส่วนเกินออก ร่วมกับการปรับกล้ามเนื้อตา
- ผ่าตัดไขมันเปลือกตา: แพทย์จะเอาไขมันส่วนเกินบริเวณเปลือกตาออก ที่เป็นสาเหตุให้หนังตาหย่อนคล้อยตกลงมาบดบังการมองเห็น
- ผ่าตัดกล้ามเนื้อตา: แพทย์จะปรับกล้ามเนื้อตาให้แข็งแรง และยกกระชับขึ้น
โดยทั่วไปคนไข้จะเห็นผลลัพธ์หลังทำภายใน 1-2 สัปดาห์ และผลลัพธ์ที่ได้จะคงอยู่อย่างถาวร
ข้อดีของการศัลยกรรมตาเพื่อแก้ไขปัญหาหนังตาตก มีดังนี้
- ช่วยให้เปลือกตาเปิดกว้างขึ้น
- ปรับปรุงการมองเห็น
- เพิ่มความมั่นใจ
- ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลง
อย่างไรก็ตามการศัลยกรรมตาก็มีความเสี่ยงอยู่บ้าง เช่น การติดเชื้อบริเวณรอยแผล เกิดแผลเป็น และมีอาการตาแห้งได้ ดังนั้นคนไข้จึงควรต้องเลือกสถานพยาบาลที่ดี แพทย์ที่เชี่ยวชาญ เพื่อลดการเกิดผลข้างเคียงดังกล่าว
หากคุณกำลังมีปัญหาหนังตาตก รบกวนการมองเห็นและความมั่นใจของคุณอยู่ อย่าปล่อยให้ปัญหานี้รบกวนการใช้ชีวิตของคุณอีกต่อไป โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่ง กมล เข้าใจปัญหาของคุณดี และพร้อมให้บริการช่วยแก้ไขปัญหาหนังตาตกให้คุณ ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ฟรี
- ติดต่อโดยตรงที่โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่ง กมล
- โทร : 02-559-0155
- Line Official : @kamolhospital
- Facebook : https://www.facebook.com/kamolcosmetichospitalthai
โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่ง กมล ครบครันบริการด้านความงาม ยินดีให้บริการทุกท่านค่ะ